รักจัดหนัก: เห็นปัญหาเกิดปัญญา
"รักจัดหนัก" สำหรับฉันไม่จัดอยู่ในประเภทหนังวัยรุ่น ไม่ coming of age แต่เป็นหนังปัญหาวัยรุ่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ที่มาเล่าให้ฟัง มาตะโกนบอกให้เรารู้ว่า เฮ้ย! ในประเทศมึงอ่ะไม่ได้มีแต่วัยรุ่นแดกเป๊บทีนแล้วไปสอบแอดมิชชั่น หรือ ประเทศมึงไม่ได้มีวัยรุ่นเล่นดนตรีประกวดฮอทเวฟแล้วก็รักกันเองในวงนะ แต่รู้มั้ย หลังเด็กๆ มันสอบแอดมิชชั่น หลังมันซ้อมดนตรีเสร็จอ่ะ มันไปเอากัน มันไม่ได้ป้องกัน แล้วมันก็ท้อง!
การท้องไม่พร้อมคือประเด็นหลักที่ "รักจัดหนัก" ต้องการจะนำเสนอ แตกออกเป็น 3 สถานการณ์ คือ ท้องรึเปล่า ท้องไปแล้ว และไม่น่าท้อง ทั้งสามแบบเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ ต่างท่วงท่าลีลา แต่นำมาซึ่งผลที่ไม่ค่อยจะต่างกันคือ ความสับสน อึดอัด อับจน มืดบอด ซึมเศร้า ชิบหายวายวอด
ไปเสม็ด:
เล่าถึงวัยรุ่นเกรดดี หน้าตาดี มีฐานะ มีอนาคต เอาง่ายๆ ว่าโรงเรียนของวัยรุ่นในเรื่องนี้น่าจะมีรถไฟฟ้าผ่าน และเราหาเด็กๆ กลุ่มนี้เจอได้ตามร้านขนมชิคๆ ในสยาม เด็กกลุ่มนี้มักถูกมองว่ามีอนาคต และมีความคิดความอ่านดีกว่าเด็กกลุ่มอื่น แต่เมื่อสัญชาตญาณเรียกร้อง เด็กกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็นลูกเทพ ก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ ที่มีความต้องการ อยากรู้ อยากเห็น อยากเอา และเมื่อสบโอกาส พวกเขาก็ไปเอากัน
หลังการเอากัน วัยรุ่นฝ่ายหญิงเริ่มไม่แน่ใจในอาการของร่างกายตนเอง คิดไปต่างๆ นาๆ กะว่าตัวกูนี้ท้องแน่ ไอ้วัยรุ่นหนุ่มบอกให้ตรวจเธอก็ไม่ตรวจ บอกว่ายังไม่ถึงเวลา มันไม่ชัวร์ "เค้า" บอกมา เค้าน่ะคือใครก็ไม่รู้ ไปหาในอินเตอร์เน็ต ตั้งกระทู้ถามเอาล่ะมั้ง จะไปรู้ได้ยังไง เพราะไม่เคยมีใครสอน วิชาเพศศึกษาที่โรงเรียนสอนเอาไว้แต่ว่าชื่อทางวิทยาศาสตร์ของปีกมดลูกคืออะไร เมื่อรวมกับนิสัยดั้งเดิมที่เป็นคนคิดมากระดับแปด น้องวัยรุ่นหญิงจึงมีอาการคล้ายคนใกล้บ้า บอกเพื่อนก็ไม่ได้ บอกแฟนแฟนก็ด่า ด้านฝ่ายชายก็กลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย บอกให้ตรวจแม่งก็ไม่ยอมตรวจ กูก็จะบ้า เอ้า...บ้า
ที่มันจะบ้าก็เพราะมันแคบ เพราะมันมีแต่เธอ กับฉัน และเพื่อนบางคน เพราะเรื่องแบบนี้วัยรุ่นไม่บอกพ่อแม่ บอกไปก็โดนด่า เลยทำได้แค่ถามกันเอง กลายเป็นว่ามีเรื่องให้ต้องคิดอยู่ในหัวล้านแปดเรื่อง จนวัยรุ่นไม่พร้อมที่จะเผชิญกับความจริง เผชิญกับแท่งตรวจฉี่ ไม่กล้าที่จะคิดเลยว่า ถ้าเป็นสองขีดขึ้นมา จะชิบหายขนาดไหน
สำหรับฉัน ไปเสม็ดถือว่าเป็นเรื่องที่ชอบน้อยที่สุด ถ้าให้เทียบกับอีกสองที่เหลือ ที่ติดขัดในใจที่สุดน่าจะเป็นการแสดงของวัยรุ่นหญิงชายทั้งสอง ที่มันประดักประเดิด ดูๆ ไปแล้วก็จะมีจังหวะถอนหายใจเบาๆ เพื่อคิดว่า "แล้วยังไง" แต่ก็ยอมรับว่ายากแหละที่จะกำกับการแสดงในหนังเล่าเรื่องดราม่าแบบนี้ อย่างไรก็ดี ขอเป็นกำลังใจให้พี่ป้องและพี่ภาสไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ :)
เป็นแม่ เป็นเมีย:
เรื่องที่สองนี้เหมือนกับเป็นตอนต่อของเรื่องแรก แต่เปลี่ยนตัวละครพลิกกลับด้าน กลายเป็นวัยรุ่นชานเมือง ฐานะไม่ค่อยเท่าไหร่ เรียนโรงเรียนรัฐบาล ฝ่ายชายเป็นนักกีฬามวย หน้าตาดี ท่าทางมีอนาคต ส่วนฝ่ายหญิงก็หน้าตาดี แต่ท่าทางเธอจะแรงไม่เบา ใฝ่ฝันอยากเป็นดารา มีชื่อเสียง แต่ก็ต้องชะงักไปซะก่อน เพราะเธอดันท้องขึ้นมา
ชีวิตหลังการท้องของหนุ่มสาวคู่นี้ อยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ ค่อนไปทางสกปรก ในชั้นบนของบ้านฝ่ายหญิง ทั้งคู่ไม่ค่อยอยากจะออกมาจากห้องเท่าไหร่ คงเพราะยังรู้สึกผิดต่อสมาชิกในครอบครัวจนไม่กล้าสู้หน้า แถมทางบ้านก็ดันเป็นร้านค้าเจ้าดังในย่านนั้น ใครๆ ก็แวะเวียนมาซื้อข้าวของ ถ้าออกไปเขาเห็นว่าท้องโตก็คงเอาไปเม้าท์กันสนั่น หนุ่มสาวก็เลยกินนอนอยู่ในห้องนั้น รอสบโอกาสดี ไม่มีใครอยู่บ้าน ค่อยออกมาสูดอากาศภายนอก
ประเด็นหลักๆ ของเรื่องนี้ คือความไม่พร้อมทางจิตใจ เด็กหญิงที่ยังไม่จบม.หก กับความรับผิดชอบในฐานะแม่ แต่เท่าที่เห็น เธอก็ยังแต่งหน้าทาปาก ว่างๆ ก็ไปซ้อมร้องเพลงหน้ากระจก แต่งตัวอินเทรนด์อยู่บ้าน ทานมาม่าแล้วก็เล่นคอมพิวเตอร์ เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเรื่องย่อละคร ดูละคร แล้วก็นอน ส่วนฝ่ายชาย ที่ต้องทิ้งสังเวียนมวยมารับบทคุณพ่อ ต้องไปทอดลูกชิ้นและผัดกับข้าวขายหาเงินช่วยครอบครัวเมีย วันดีคืนดีก็ทะเลาะกับเมีย บอกเมียว่าให้เราท้องแทนเธอก็ได้นะ ได้ยังไงฟะ!?!
พื้นที่ของวัยรุ่นคู่นี้ก็แคบ อยู่แต่ในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งๆ ที่มีครอบครัวที่น่าจะพร้อมให้ความเข้าใจและช่วยเหลือ แต่วัยรุ่นยังไม่อาจมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่อยู่ชั้นล่าง จริงๆ วัยรุ่นพร้อมที่จะเปิดประตูให้ทุกคนตลอด แต่พวกเขาไม่อยากเปิดเอง เขาอยากแน่ใจว่า คนชั้นล่างไม่มองว่าเขาเป็นตัวปัญหา และยืนอยู่ข้างเดียวกัน ในฉากสุดท้ายของตอนนี้ เป็นอะไรที่ตอบเรื่องนี้ได้ดี เมื่อถึงเวลา ก็ไม่มีใครทิ้งกันหรอก แล้วจะเข้าหากันตั้งแต่แรกไม่ได้เลยหรือ
ทอมแฮ้ง:
โดยส่วนตัวฉันชอบตอนนี้มากที่สุด ไม่ใช่เป็นเพราะฉันเคยเป็นศิษย์เก่าตระกูลทอมแต่อย่างใด ฉันค่อนข้างเชื่อและคล้อยตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ "นัท" ทอมหล่อที่ใครๆ ก็กรี๊ด เป็นนักกีฬาโรงเรียน อารมณ์ดี จิตดี มีจิตสาธารณะหรือเปล่าไม่แน่ใจ เมื่อถึงวันปิดเทอม เพื่อนๆ ชวนกันไปกินเหล้าฉลองอิสรภาพ ทอมนัทโกหกแม่เพื่อไปจัดเหล้าหนักๆ หนักมากเข้าก็เมา อ้วก แล้วก็คงจะมึนๆ ไปนอนก่ายผู้ชายอยากมียูเอฟโอ ก่ายไปก่ายมา ไอ้ราฟฟี่ก็ด๊า..ดี..ดาว น้องนัทเข้าซะเลย ได้ไม่ได้เปล่า น้องนัทของเราดันท้องขึ้นมา ซวยล่ะหว่า...
ปัญหาทอมท้องเป็นเรื่องที่ฉันค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เพราะไม่เคยคิดถึงมุมนี้มาก่อน แม้จะเคยห้าวๆ ออกไปในทางทอมมาระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นทอมถาวร เพราะทุกครั้งที่เห็นผู้ชายก็จะสยิวกิ้วอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับนัท ที่ดูแล้วน้องเขาน่าจะเอาจริงในทางนี้ ด้วยบุคลิกท่าทาง และนิสัยบางอย่างที่แมนเหลือเกิน เดาเอาว่า ถ้าเลือกได้ น้องนัทก็คงไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิงซักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น น้องนัทคงไม่คิดหรอกว่าวันนึงมดลูกของตนจะได้ใช้งานในการอุ้มท้อง
หนังพาเราไปเห็นอีกมุมในชีวิตนัท เห็นแม่ของนัทที่ก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และหวังจะเห็นลูกสาวเป็นลูกสาว เมื่อวันที่รู้ว่าลูกตนท้องก็เลยปนๆ กันไปทั้งดีใจและเสียใจ คิดว่าการท้องอาจทำให้ลูกตนกลับใจเป็นผู้หญิงได้ แต่น้องนัทก็เด็ดเดี่ยวเหลือหลาย คนมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ จะเปลี่ยนกันได้ยังไง การทำแท้งจึงเป็นทางออกเดียวที่เธอมองเห็น ฉากเฝ้างานศพฉากนั้นดีมากจริงๆ คือมันเห็นอารมณ์ในหัวเด็กคนนั้นวิ่งชนกันเต็มไปหมด บางทีเราก็ต้องยอมทำบางอย่าง เพื่อให้ชีวิตเราเดินหน้าต่อไป
เรื่องของนัทยังคงเกิดอยู่ในที่แคบ ห้องล็อกเกอร์ และเพื่อนสนิทของเธอ เป็นเพียงสองสิ่งที่เธอไว้วางใจ หากเรื่องของนัทรู้กันไปถึงหูใครต่อใคร เราคงไม่ได้เห็นฉากจบดังเช่นในหนังก็เป็นได้
........
สำหรับฉัน ทั้งสามตอนในหนัง "รักจัดหนัก" ยังมีข้อผิดพลาดขาดเกินอยู่มากมาย และมันก็เป็นเช่นนี้กับหนังทุกเรื่องในโลก ความขาดเกินที่ว่าอาจเกิดจากตัวผู้สร้าง และก็อาจเกิดจากตัวผู้ดู รสนิยมที่ไม่ตรงกัน ความคิดและการตีความ สิ่งที่อยู่ระหว่างบรรทัดที่เรามองไม่เห็น ความไม่สมบูรณ์จึงนำมาซึ่งการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ และที่ฉันนั่งเขียนถึงหนังเรื่องนี้ (หลังจากที่ขี้เกียจมานานเป็นปี) เพราะฉันเชื่อว่า ความตั้งใจของผู้สร้าง และวิธีการสื่อสารของหนังเรื่องนี้ พยายามจะบอกให้สังคมคิด แล้วพูด ถกเถียง วิจารณ์ หาทางออก ตอนจบของหนังแต่ละตอนที่กำลังร่ำลือกัน ว่าทำไมถึงตัดจบ อินดี้นักเหรอ? ฉันว่าคงไม่ สิ่งที่เกิดในหนัง ไม่อาจบอกได้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร หนังทำได้แค่เอาปัญหามาเล่าให้เราเห็น มากระตุกจิต ให้เรามองเห็นว่าปัญหามันเกิดขึ้นมาอย่างไร ส่วนทางออกทางแก้ ให้มันเป็นเรื่องของคน ครอบครัว สังคม ที่จะหาวิธีแก้กันไปตามวิธีใครวิธีมัน
หากสื่อ คือหน่วยในสังคมที่ทำหน้าที่เปิดเผย ตีแผ่ สะท้อนภาพความเป็นจริง ความมีอยู่ ความเป็นไปในสังคม ฉันก็มองว่า หนัง "รักจัดหนัก" ได้ทำหน้าที่ของภาพยนตร์ในฐานะ "สื่อ" ได้เต็มความสามารถแล้ว ถ้าพูดแบบนักเรียนหนัง คงต้องบอกว่า content น่ะดีแล้ว แต่ form อาจจะต้องปรับๆ กันไป อย่างไรก็อย่าเพิ่งถอดใจก็แล้วกัน :)