Mitsuko delivers: เคยใช้ชีวิตอยู่กับระเบิดที่ยังไม่ระเบิดไหม?
...
Mitsuko delivers ハラがコレなんで (2011), B+
Director: Yuya Ishii
จะเรียกว่านี่คือ Happy go lucky
เวอร์ชั่นของญี่ปุ่นก็คงจะทำให้เห็นภาพหนังเรื่องนี้มากขึ้น
(หรืออาจจะไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกถ้าไม่ได้ดูไอ้เรื่องที่ว่า 555)
งั้นเอาเป็นว่า เรื่องใหญ่ใจความของ Mitsuko Delivers
คือชีวิตของผู้หญิงคนนึงที่ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี
แต่ส่วนใหญ่จะออกไปทางรันทดตีบตันเสียมากกว่า แต่ข้อดี (ล่ะมั้ง) ของเธอ
ก็คือ เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก แบบว่า โคตรบวก บวกจนน่าหมั่นไส้
บวกจนดูเหมือนจะหาคนแบบนี้ในชีวิตจริงไม่ได้ หรือถ้ามีจริง
อีนี่ก็คงโดนคนอื่นรำคาญจนเสียเซลฟ์ไปบ้างเหมือนกัน (แต่นางอาจจะไม่เสียก็ได้ เพราะว่านางคิดบวก)
เพราะความน่าหมั่นไส้ โลกสวยเกินเหตุเนี่ยแหละมั้ง
ที่ทำให้หนังต้องวางตัวเองอยู่ในโทนที่เกินจริงไปซักสองเลเวล
โดยใช้วิธีการแสดง สกอร์ประกอบ มุมกล้อง
และเทคนิคทางภาพบางอย่างเติมความเกินจริง และลดความตึงเครียดลงมา
เพราะเอาจริงๆ แล้วด้วยพลอทผู้หญิงท้อง ไร้เงิน ไร้บ้าน ไร้ผัว
เนี่ยจะให้ฮิลลารี่ สแวงก์มาเล่น และลุงคลินท์ อีสต์วู้ด
มากำกับเราก็คงได้หนังที่หนักตายเรื่องนึงก็ได้
(คือกูตายตั้งแต่หน้านางเอกแล้ว) แต่ผู้กำกับ Yuya Ishii
เลือกที่จะใช้โทนการเล่าเรื่องแบบการ์ตูนมาครอบเรื่องหนักๆ
ก็ทำให้เราเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนขึ้นของการใช้ชีวิตแบบคิดบวก
(แต่เราก็จะไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกนะว่าจะมีชีวิตแบบนั้นอยู่จริงๆ)
ขยายความเนื้อเรื่องให้ฟังนิดนึง มิทสึโกะเนี่ยเธอท้องได้ 9 เดือนแล้ว
เธอเคยตามหนุ่มนิโกรไปอยู่ที่อเมริกาแล้วมีลูกด้วยกัน จากนั้นเธอก็ท้อง
ไอ้หนุ่มนั่นทิ้ง เธอกลับมาที่ญี่ปุ่น ใกล้จะคลอดเต็มแก่
เงินก็ร่อยหรอลงไปทุกวัน จนสุดท้าย เธอก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง
เลิกสัญญาห้องเช่า แล้วเอาเงินที่ได้ไปจ่ายเป็นค่าฝากครรภ์งวดสุดท้าย
จ่ายเป็นค่าขนย้ายข้าวของ แล้วหิ้วกระเป๋าใบเดียวกับเศษเหรียญไม่กี่ร้อยเยน
มุ่งหน้ากลับสู่ชุมชนเล็กๆ
แห่งหนึ่งที่เหมือนไม่มีใครในโตเกียวมองเห็นหรือจดจำ
ที่นั่น เธอได้พบกับยายแก่เจ้าของบ้านเช่าย่านนั้น
ที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงเพราะขาเดินไม่ได้
กับสองลุงหลานที่เปิดร้านอาหารอันมีเมนูเด็ดเป็น "ตับผัดกุ่ยช่าย"
ทั้งสามชีวิตไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ
เพราะเธอและเขาเหล่านั้นเคยได้มีชีวิตเวียนมาบรรจบกันแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ
เธอยังเป็นเด็ก
เธอต้องตามพ่อแม่มากบดานหนีหนี้ร้านปาจิงโกะอันเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ที่
ชุมชนที่ไม่เคยมีใครจำแห่งนี้
ชุมชนนี้เคยคึกคักมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่พอเข้าสู่ช่วงสงคราม โตเกียวพังย่อยยับจากระเบิดที่ลงมาถล่ม
แต่ชุมชนนี้ยังอยู่รอด โดยมีคุณป้าเป็นคนดูแลที่ดินและเก็บค่าเช่าบ้านต่างๆ
ที่ดินนี้เป็นของสามีแกที่เป็นทหารและตายไปแล้วในสงคราม
จากเดิมที่เคยเป็นชุมชนคึกคักเฟื่องฟู เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
โตเกียวทั้งเมืองได้รับการบูรณะกลับมามีชีวิตและทันสมัยกว่าแต่ก่อน
ตรงกันข้ามกับชุมชนแห่งนี้มีเหมือนกับไม่มีใครมองเห็น ชุมชนก็เลยทรุดโทรม
เก่าและเชย บรรยากาศคล้ายๆ ฉากใน Always ภาคแรก ที่บ้านในซอยนั้นยังกังๆ
อยู่ อะไรทำนองนั้นเลย
ในตอนที่มิทซึโกะยัง
เด็กและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เธอได้เรียนรู้คำว่า "เจ๋ง"
จากคุณป้าเจ้าของที่ดิน คุณป้ามักจะวิจารณ์และสั่งสอนคนในชุมชนอยู่เสมอว่า
"ต้องใช้ชีวิตให้เจ๋งนะ" หรือ "เธอทำแบบนี้มันไม่เจ๋งเลยนะ"
คำว่าเจ๋งของคุณป้าแกนั้นไม่รู้จะอธิบายความหมายออกมาเป็นคำได้ว่าอะไร
เพราะมันกินความกว้างใหญ่ จะให้บอกว่าเป็นคนดีก็กว้างไป
เป็นคนมีน้ำใจก็เล็กเกิน ตลอดเวลาไม่นานที่อยู่ในชุมชนนั้น
มิทสึโกะเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้เจ๋งจากสมาชิกในชุมชน
จากเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ
ที่ยกหนังสือเรียนให้เพื่อนผู้หญิงที่กำลังร้องไห้เพราะกลัวโดนครูว่าที่ไม่
ได้เอาหนังสือมา จากคุณป้าที่มักจะยกเว้นค่าเช่าบ้านให้หากมีใครกำลังลำบาก
และจากคุณลุงที่ด้อมๆ มองๆ ไม่กล้าบอกรักสาวมานานหลายสิบปี
ความเจ๋งอีกหนึ่งอย่างของชุมชนนี้ก็คือ
มีระเบิดที่ยังไม่ระเบิดนอนอยู่ที่ใต้ผืนดิน
อยู่ข้างใต้บ้านของคนในชุมชนนี้ จะระเบิดวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้
และไม่มีใครอยากอยู่ที่ที่นานหรอกเพราะทุกคนก็กลัวว่ามันจะระเบิด
เมื่อมีทางขยับขยายทุกคนก็ทิ้งชุมชนออกไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า สุดท้าย
ชุมชนที่เคยคึกคักก็เหลือแต่สองลุงหลาน และคุณป้าเจ้าของที่
ที่ยังยึดมั่นจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น แหละปล่อยให้มันเป็นไป
เมื่อมิตสึโกะกลับมาที่ชุมชนนี้อีกครั้ง เธอเหมือนกับพาความหวังเข้ามา
และพยายามที่จะจัดการทุกเรื่องให้ "เจ๋ง" เหมือนแต่ก่อน
ฉันชอบประเด็นเรื่อง "ระเบิดที่ยังไม่ระเบิด"
ที่ดูเหมือนเป็นอีกตัวละครที่สำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องทั้งเรื่อง
ระเบิดที่ยังไม่ระเบิดคือความไม่แน่นอนของชีวิต คือสิ่งที่มันมีอยู่
เรารู้ว่ามันมีอยู่
แต่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นและดับสลายทุกสิ่งเมื่อไหร่ ดังนั้น
ด้วยแรงขับบางอย่าง การใช้ชีวิตแบบนี้มีทางออกให้เราสองทาง คือ
เราอาจจะนอนอยู่เฉยๆ รอให้มันระเบิด หรือ
เราจะใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้มันจะระเบิด ทำทุกสิ่งที่อยากทำ
เชื่อในความเป็นไปได้ แม้เมื่อกลับมาบ้านแล้วจะพบว่าทุกสิ่งยังไม่สูญสลาย
เราก็ยังมีพรุ่งนี้ให้ลุ้นกันใหม่ ให้เชื่อ ให้ทำ
เหมือนเช่นนี่คือวันสุดท้าย
ระเบิดที่ยังไม่ระเบิดสอนให้เรารู้จักคุณค่าของชีวิต ทั้งของเราและของคนอื่น
เราจะจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่ได้ทำสิ่งเจ๋งๆ ทิ้งเอาไว้ได้ยังไง
เราจะจากโลกนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่คิดและปล่อยเวลาให้ผ่านไป
ได้อย่างไร
เราจะจากโลกนี้ไปโดยที่นั่งจมอยู่กับปัญหาและปล่อยให้ชีวิตมืดบอดได้อย่างไร
ตลอดทั้งเรื่องมิทสึโกะมอบคำตอบนี้ให้กับเรา ด้วยความเชื่อแบบใสๆ ของเธอ
นั่นก็คือ ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกสิ่งจะต้องผ่านพ้นไปได้ เมื่อไม่มีทางออก
มองไม่เห็นทางไป อย่าไปคิดกับมันเยอะ พาชีวิตไปตามลมที่พัด
เดินต่อไปข้างหน้า มันจะต้องมีทางออกอยู่ซักที่ ถ้ามีปัญหาก็แก้ไป
เจอใหม่ก็แก้อีก นี่แหละที่นางผู้หญิงท้องคนนี้สอนเรา
ชีวิตที่เจ๋งคือชีวิตที่ไม่จมอยู่กับความผิดพลาดหากแต่ยังเดินต่อไปข้างหน้าได้
เรื่อยๆ อย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ไม่กลัวที่จะแพ้
ชีวิตที่เจ๋งคือชีวิตที่คิดถึงคนอื่นมากเท่าๆ กับที่คิดถึงตัวเอง
ชีวิตที่เจ๋งคือชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อ
และพร้อมเสมอที่จะปล่อยมันไปเมื่อไปจนสุดทาง
ชีวิตที่เจ๋งมีความเจ๋งคือทุกคนมีชีวิตที่เจ๋งได้
แม้ในเรื่องเล็กน้อยเราก็ทำให้มันเจ๋งได้
เราเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าชีวิตของเราเจ๋งหรือเปล่า
ปล. ได้ชมหนังเรื่องนี้ในเทศกาลหนังพุทธปัญญา (International Buddhist Film Festival 2012, Bangkok) เสียดายนิดเดียวที่ฉายด้วยดีวีดี ภาพเลยโอเวอร์ๆ ฉากที่มิทสึโกะมองท้องฟ้า ก้อนเมฆ ภาพมันเลยไม่ชัด แต่ก็เอาเหอะ ดีกว่าไม่ได้ดู