Silenced : ความโหดร้ายที่เงียบสงัด

11:33 PM NidNok Koppoets 0 Comments

Silenced (The Crucible, Dogani) (2011, Hwang Dong-hyuk, A-) 



เป็นหนังที่คุมโทนความหดหู่ โหดร้าย มืดมน และอึดอัดได้ดีมากตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เราจะเห็นตัวหนังสือขึ้นมาตั้งแต่เริ่มว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริง และเมื่อหนังจบ อารมณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการดูหนังเรื่องนี้จะทำให้เราอยากรู้ความจริงนั้น เพื่อที่จะรู้ว่าจุดจบของเรื่องนี้เป็นอย่างไร และมันโหดร้ายอย่างที่หนังเล่าให้เราฟังจริงๆ หรือ 


คังอินโฮ (Gong Yoo) เข้าไปเป็นครูสอนศิลปะคนใหม่ที่โรงเรียนสอนคนหูหนวกตาบอดประจำเมืองมูจินผ่านการฝากฝังของอาจารย์สมัยเรียน ที่นั่นเองที่เขาได้พบความผิดปกติบางอย่าง และเมื่อติดตามสืบหาความเป็นจริงไปเรื่อยๆ เขาก็พบว่า โรงเรียนที่ติดป้ายใหญ่โตไว้ที่หน้าประตูว่าเป็น "โรงเรียนดีเด่น" (คงให้อารมณ์ประมาณโรงเรียนสีขาวบ้านเรา) นั้น มีการกระทำผิด และล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนเกิดขึ้นนิ่นนาน อาจมีคนล่วงรู้ แต่ก็ไม่เคยมีใครจัดการอะไร และคนผิดไม่เคยถูกนำมาลงโทษ 

ตอนนั้นเองที่คิงอินโฮตัดสินใจที่จะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเต็มตัว แต่มันก็เป็นภาวะแบบเตี้้ยอุ้มค่อมพอสมควร เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะช่วยใครเท่าไหร่ เขามีแม่ และลูกสาวที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีที่ต้องดูแล เขาร่วมมือกับโซยูจิ (Jung Yoo-mi) เจ้าหน้าที่ศูนย์สิทธิมนุษยชนประจำเมือง พยายามเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ให้ได้รับรู้ในวงกว้าง โดยบันทึกเทปคำให้การของเด็กทั้งสามคนที่ถูกละเมิด ยอนโด (Kim Hyun-soo) ด็กหญิงหูหนวกเป็นใบ้ที่ถูกกระทำชำเราโดยผอ.โรงเรียน, ยูริ (Jung In-seo) ที่นอกจากจะเป็นใบ้หูหนวกแล้วยังปัญญาอ่อนด้วย เธอถูกข่มขืนครั้งแล้วครั้งเล่าจากหัวหน้าธุรการ และผอ.โรงเรียน (ที่ในเรื่องเป็นฝาแฝดกัน) และ มินซู (Baek Seung-hwan) เด็กชายที่ถูกละเมิดทางเพศจากครูผู้ชาย รวมถึงทารุณกรรมและทุบตีสารพัด ซึ่งภายหลังจากคำให้การของเด็กๆ ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ ตำรวจก็เข้าไปจับกุมครูทั้งสามคน และส่งสำนวนคดีนี้ขึ้นศาล 


ในช่วงกลางจนถึงท้ายของหนังจึงเป็นเรื่องของคดีในชั้นศาล ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นที่แตกต่าง ระหว่างจำเลยที่มีฐานะทางสังคมเหนือกว่า เป็นผู้กว้างขวาง และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สนับสนุนศาสนาคริสต์ในเมืองมูจิน กับโจทย์เป็นเด็กพิการสามคน ดูผิวเผินเราอาจจะเทใจไปเอาใจช่วยเด็กๆ มากกว่า แต่ความบิดเบี้ยวของสังคมมันมีอย่จริง ชาวเมืองส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ทำผิด และกล่าวหาด่าทอว่าเด็กๆ เหล่านั้นใส่ร้ายครูผู้มีพระคุณ หลายคนสวดมนต์เพื่อสาปแช่งเด็กๆ ตรงคอกที่นั่งกองเชียร์ฝั่งโจทก์ จึงมีแต่บรรดาผู้พิการหูหนวกด้วยกันเอง ส่งเสียงเชียร์อันเงียบสงัด สงถ้อยคำกล่าวหาตอบโต้ที่ไร้สรรพเสียงกลับไปยังเสียงที่ดังกว่าของอีกฝ่าย 

และในท้ายที่สุดของคดี แม้ว่าโจทก์จะมีหลักฐานชัดเจนแค่ไหนก็ตาม แต่โทษที่จำเลยทั้งสามได้รับนั้นก็แค่เพียงการรอลงอาญา ทั้งสามคนกลับข้าไปทำงานตามปกติ ทิ้งบาดแผลเอาไว้ให้กับเด็กๆ ผู้ถูกกระทำ และสังคมของผู้พิการ คังอินโฮและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแต่ไม่มีใครมองเห็นเหมือนมีหมอกมาบดบัง และรอให้สักวันเมื่อหมอกนั้นสลายไป ความจริงและความยุติธรรมจะเยียวยาสังคมนั้นให้หายดี


 เมืองมูจินไม่มีอยู่จริง แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองกวางจู (Gwangju) ที่โรงเรียนสอนคนพิการหูหนวกตาบอกวางจูอินฮวา (Gwangju Inhwa School)ี่กลายเป็นข่าวดังในปี 2005 เมื่อพบว่ามีเด็กๆ อายุตั้งแต่ 7 - 20 ปี ถูกละเมิดทางเพศ และถูกทารุณกรรมจากครูและบุคลากรในโรงเรียนตั้งแต่ปี 2000 ครูที่น่าจะเป็นต้นแบบของตัวละครคิงอินโฮมีอยู่จริง และชะตากรรมของเขาก็ไม่ต่างจากตัวละครนัก เพราะเมื่อเขาออกมาเปิดเผยและเดินหน้ากับเรื่องนี้ เขาก็ถูกไล่ออกจารงเรียนให้โดดเดี่ยวในทันที แรกทีเดียวตำรวจในเมืองไม่ได้ใส่ใจที่จะดำเนินคดีนี้ จนเมื่อภาพของเด็กๆ ได้ถูกออกอากาศ หลังจากนั้น 4 เดือนตำรวจถึงเข้าจับกุมจำเลยที่เป็นครูใหญ่ ครู และบุคลากรโรงเรียนทั้ง 6 คน มาดำเนินคดี และผลของคดีก็ไม่ได้ต่างจากในหนังนัก นั่นคือ ทุกคนได้รับโทษน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ ส่วใหญ่จะแค่รอลงอาญา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รับโทษจำคุก 1 ปี และโรงเรียนก็ยังคงเปิดสอนตามปกติ 


เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดเป็นหนังสือตีพิมพ์ในปี 2009 ชื่อ Dogani โดย Gong Ji-young และโปรเจ็คต์หนังเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อกงยู ักแสดงนำของเรื่องได้อ่านนิยายเรื่องนี้ระหว่างที่เขาเข้ากรมทหาร และเมื่อได้มีโอกาสคุยกับผู้เขียนหนังสือ เขาก็คิดว่ามันน่าจะทำเป็นหนังได้ โปรเจ็คต์จึงเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 และหนังออกฉายในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ซึ่งหนังเล็กๆ ทุนต่ำเรื่องนี้ ที่มีผู้ชมมากกว่า 3 ล้านคน ได้จุดประกายให้เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างในสังคมเกาหลีใต้ ประธานศาลฎีกาในตอนนั้นได้บอกว่า "อารมณ์ของประชาชนที่ดูหนังเรื่องนี้กำลังเดือพล่าน" มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมายที่เป็นธรรมและเท่าเทียมเรื่องการละเมิดทางเพศของผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส และในเดือนพฤศจิกายน 2011 สำนักการศึกษาเมืองกวางจูก็ได้สั่งปิดโรงเรียนกวางจูอินฮวาอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุผลที่ว่า "โรงเรียนนั้นขาดความชอบธรรม ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เรื่องเกิดขึ้นและผ่านมาหกปีโดยที่โรงเรียนไม่เคยถูกตรวจสอบ ตอนนี้โรงเรียนที่เคยทำหน้าที่ให้บริการสังคม ช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งให้กับผู้พิการด้อยโอกาส ไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้อย่างใสสะอาดปราศจากข้อกังขา" เด็กๆ ที่อยู่ในโรงเรียนถูกย้ายไปยังโรงเรียนในเมืองใกล้เคียกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อรับปากว่าจะเข้ามาตรวจสอบเรื่องผิดปกติในโรงเรียนนี้ (เช่นเรื่องเงินสินบน และการคอรัปชั่นในการบริหาร) 

หนังเล็กๆ เรื่องนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมมากมายให้เกิดขึ้นในสังคม มีการทบทวนเรื่องสิทธิความต้องการพื้นฐานของผู้พิการในเกาหลีใต้อย่างจริงจังมากขึ้น เช่นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางสาธารณะ เป็นปรากฏการณ์ที่เราอาจจะไม่ได้เห็นมากนักในสมัยใหม่ ที่สื่อแขนงที่เจ็ดอย่างภาพยนตร์จะทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ในการตีแผ่และบอกเล่าอะไรบางอย่าง ผ่านคุณลักษณะเฉพาะตัวของมันผ่านไปยังสังคม และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่เราได้เห็นจากนังเรื่องนี้ 


หนังเล่าเรื่องแบบที่แบ่งแยกตัวละครป็นคนดี - คนร้าย อย่างสมบูรณ์และแทบไม่มีสีเทา ซึ่งอันนี้มันก็คงเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการขับอารมณ์ของคนดูให้โน้มเอียงมาทางฝั่งคนดีอย่างไม่ต้องลังเลใจหรือคิดอีกที เพราะว่ามันเป็นหนังบันเทิง ไม่ใช่สารคดี เราจึงไม่ต้องใส่ใจกับความจริงที่เห็นในหนังมากเท่าไหร่ เราจะเกลียดทุกการกระทำของพวกตัวร้าย (Villain) และเราจะเอาใจช่วย สงสาร เห็นใจ ไปกับทุกชะตากรรมที่คนดีได้เจอ มีหลายฉากที่สะเทือนอารมณ์สุดๆ เช่นฉากสลายการชุมนุมที่สงบและมือเปล่าสุดๆ ของเหล่าผู้สนับสนุนคนพิการ กับพระเอกที่ถือรูปมินซูผู้ล่วงลับออกไปพูดซ้ำๆ ว่า "มินซูคือเด็กที่ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ คุณรู้จักเขาไหมครับ" แต่เสียงของเขาอาจจะไม่มีใครได้ยินเพราะถูกแทนที่ด้วยเสียงแรงแห่งน้ำที่ฉีดเพื่อไล่ผู้ชุมนุม, หรือฉากในห้องไต่สวนคดีที่ศาลเคาะค้อนและตะโกนหลายครั้งให้ผู้เข้าฟังที่เป็นคนหูหนวกเงียบเสียง ซึ่งมันเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์มากเพราะคนที่เรากำลังพูดด้วยนั้นไม่ได้ยิน สะท้อนความไม่เท่าเทียมในที่ที่ควรมีความเท่าเทียมเกิดขึ้นมากที่สุดเช่นศาล ที่ควรจะอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการสามารถเข้าใจการไต่สวนคดีได้โดยไม่มีอุปสรรคเป็นความพิการที่ติดตัวมาแต่กำเนิด 


การแสดงของเด็กๆ ที่มาเล่นเป็นเด็กพิการทั้งสามคนทำได้ดีมากจนเราเกือบจะเชื่อว่าพวกเขาพิการจริงๆ ส่วนกงยูนั้นเล่นได้ดี แต่เรายังไม่เชื่อว่าเขาเป็นครู เป็นผู้ชายขี้แพ้คนนึงที่กำลังจะเข้ามาช่วยเด็กพิการ เราเห็นความพยายามที่จำทำตัวให้เล็ก ทำสายตาให้เศร้าที่สุด แต่หน้าตาและตัวของกงยูเอง (ที่หล่อโดดเด่นมาก) มันยังไม่ตามไปกับตัวละคร มันเลยเป็นความอิหลักอิเหลื่อประมาณนึงที่เกิดขึ้น จะมีฉากเดียวที่เราว่ากงยูทำได้ดีมาก ก็คือตอนที่เขาโดนฉีดน้ำในฉากหน้าศาลนั้นแล 

หนังเรื่องนี้หาดูไม่ยาก มีขายเป็นแผ่นลิขสิทธิ์ในเมืองไทย หน้าปกสะดุดตามากเพราะเป็นรูปกงยูเด่นชัด หล่อทะลุแผ่น และเท่าที่ดูโปสเตอร์ทุกเวอร์ชั่นก็จะมีหน้ากงยูใหญ่หราอยู่ทุกอัน คือมันดีตรงที่หน้าหนังมันคงจะล่อคนให้เข้าไปดูได้เยอะ และทำให้เรื่องนี้มันกลายเป็นกระแสสังคมขึ้นมา แต่ตัวหนังเองเนี่ยมันมีศักยภาพที่จะทำโปสเตอร์ได้ดีและมีความหมายกว่านี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งหน้าหล่อของกงยู แต่มันก็เป็นเรื่องทางการตลาดล้วนๆ ที่เราควรจะปล่อยผ่านไป (ตัดจบแบบนี้เลย 555) 


มีเว็บไซต์ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ รายละเอียดเยอะเหมือนกัน เผื่อใครสนใจ