Silver Linings Playbook: ผมก็ได้แต่หวังว่าตอนจบมันจะแฮปปี้เอนดิ้ง
Silver Linings Playbook (2008, Matthew Quick, A+)
Silver Linings Playbook (2012, David O. Russell, B+)
(ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแยกกันระหว่างหนังกับหนังสือ เพราะว่ามันคนละศาสตร์กันจะเอามาเปรียบเทียบกันก็ยังไงอยู่ แต่เอาเข้าจริงๆ ความขี้เกียจก็ชนะทุกสิ่ง ขอเขียนมันแบบรวมๆ ไปแล้วกัน)
Silver Linings Playbook เป็นหนัง Romantic Comedy ที่ดูสนุกเพลิดเพลิน ตัวละครและความรักของพวกเขาสามารถทำให้คนดูหลงรักได้ไม่ยาก แต่สำหรับเราไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น คือเมื่อดูจบ ความรู้สึกคือ เออ มันเป็นหนังที่สนุกดีนะ แต่ไม่ได้รักขนาดนั้น จนเมื่อกลับไปอ่านหนังสือจนจบ ก็กลายเป็นว่า ถึงเราจะไม่รักหนัง แต่เราโคตรรักหนังสือเล่มนี้เลย
เรื่องเล่าถึงชีวิตหลังออกจากสถานบำบัดของ Pat ผู้ชายที่มีความเชื่อในแฮปปี้เอนดิ้ง เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองมากมาย และตั้งใจที่จะเป็นคนที่ดีขึ้นรอวันที่เขาจะได้กลับมารักกับ Nikki ภรรยาที่ตอนนี้ต้องแยกกันอยู่ เขากลับมาที่บ้านและต้องเริ่มฟืื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาเองกับเพื่อนเก่า, แม่, พี่ชาย และพ่อของเขา ที่ดูเหมือนว่า มีเพียงอเมริกันฟุตบอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นกาวเชื่อมใจระหว่างเขา พ่อ และครอบครัวทั้งหมดได้
ในอีกเส้นเรื่องหนึ่ง Pat ได้รู้จักกับ Tiffany น้องสาวของเมียเพื่อนรักของเขาที่เพิ่งเสียสามีของเธอไป เธอเองก็ต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์ไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาผ่านการวิ่งไปรอบเมืองโดยที่ไม่พูดกันซักคำ และเมื่อ Tiffany ยินดีที่จะเป็นแม่สื่อ ฝ่ากำแพงกฎหมายนำพาข้อความของเขาส่งให้กับ Nikki เขาก็ยินดีที่จะเป็นคู่เต้นของเธอเพื่อเข้าแข่งขันการเต้นประจำปี
ในขณะที่เกือบสามร้อยหน้าของหนังสือนั้นไม่ได้มีฉากที่เร้าอารมณ์หรือปาฏิหาริย์จัดตั้งอะไรเป็นพิเศษ กลับกัน หนังสือทำให้เราโคตรอบอุ่นไปกับเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตของคนอเมริกันที่หายใจเข้าออกเป็นกีฬาอเมริกันฟุตบอล และการพยายามสัมพันธ์ตัวเองของ Pat กับคนรอบๆ ตัวเขา ทั้งเพื่อน, จิตแพทย์, ครอบครัว และ Tiffany
เมื่ออ่าน เราจะรักแม่ของ Pat มาก มากจนเสียดายที่ในหนังเราไม่ได้รักตัวละครนี้มากขนาดนั้น ซึ่งเราก็เข้าใจว่าหนังมันมาให้น้ำหนักเรื่องความรักไปแล้วก็เลยทอนความ สำคัญ และโอกาสที่ตัวละครแม่ (Jacki Weaver) จะได้โชว์ความสามารถออกไปเยอะ (ในหนังสือนี่เราจะคาดหวังการแสดงจากบทนี้เลยนะ) ต่างจาก Tiffany ที่ในหนังสือจะเรียบเฉยไม่ได้หวือหวาอะไร แต่หนังเพิ่มบางฉากให้ Jennifer Lawrence ได้ปล่อยพลังบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้เยอะแยะ แต่เธอมีเสน่ห์ดีในครึ่งแรก จนกระทั่งครึ่งหลังที่ทั้งหนังและเธอแผ่วไปทั้งคู่เลย (แต่ฉากกรี๊ดตอนประกาศคะแนนนี่เป็นภาพติดตาไปเลยนะ)
ฉันว่าเหตุผลที่คนรักหนังสือเล่มนี้มาก (รวมถึงฉันด้วย) คงเป็นเพราะพาเราไปแตะยังหน่วยย่อยที่สุดของชีวิตนั่นก็คือครอบครัว เป็นการซ่อมสร้างร่างกายและจิตใจของผู้ชายโพสิทีฟคนหนึ่งผู้ซึ่งเคยสูญเสียทุกอย่าง ผ่านความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ทั้งที่รู้จัก และเพิ่งรู้จักกัน Pat เรียนรู้ที่จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติผ่านการเผชิญความจริงที่เกิดขึ้นในทุกวัน ที่สถานบำบัดคือโลกที่ถูกปิดกั้น เป็นโปรแกรมที่จะฟื้นฟูจิตใจที่เคยขาดภูมิคุ้มกันให้กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม ด้วยสภาวะปิดแบบนั้นอาจจะดีกว่าเพราะมันป้องกันเราไม่ให้เจอกันเรื่องร้ายหรือปัญหาที่น่าปวดหัว แต่การกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยใช้ เราห้ามและบังคับไม่ให้สิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ใช่ทุกวันที่จะมี Silver Lining ปรากฏขึ้นบนฟ้า มันก็จะมีบางวันที่เมฆเทาๆ เข้ามาปกคลุม มันจะมีวันที่เราเจอเรื่องร้ายบ้าง แม้ Pat จะวางแผนเอาไว้ดีแล้วว่าเขาจะพยายาม "เป็นคนที่ดีมากกว่าทำสิ่งที่ถูก" ("I am practicing being kind over being right") แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ แม้ว่าจะปวดหัวหรือหนักใจแค่ไหน มันก็เป็นการบำบัดและเสริมภูมิต้านทานชั้นดี ให้ Pat เติบโตและแข็งแรงขึ้น
หนังให้น้ำหนักกับคำว่า Love ในขณะที่หนังสือให้ความสำคัญและทำให้เราเห็นรายละเอียดปลีกย่อยของคำว่า Life แต่หากได้ชมและได้อ่านทั้งสองสื่อ มันก็จะช่วยเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกัน เราจะได้ยิ้มให้กับความหวังของผู้ชายซื่อๆ ที่มองโลกในแง่ดีแบบสุดโต่ง เราได้เห็นว่ามิตรภาพและหัวจิตหัวใจที่เป็นมิตรจากคนรอบข้างนั้นสำคัญเหลือเกินในการที่จะทำให้คนซักคนหนึ่งกลับมามีกำลังใจเข้มแข็งดังเดิม และเราจะได้เห็นว่า แม้เส้นสีเงินที่เราหวังจะเห็นจะไม่มาให้เราเห็น แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงเส้นนั้นเส้นเดียวซะเมื่อไหร่ ตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งมันเกิดขึ้นได้ อาจจะไม่ใช่ในแบบที่เราหวังไว้ แต่สุดท้ายมันก็ทำให้เรายิ้มได้เหมือนกัน