The King 2 Hearts: รักแห่งคาบสมุทรเกาหลี
The King 2 Hearts (2012, MBC, South Korea, Lee Jae Kyu, A-)นับจากปี 1948 เกาหลีเหนือและใต้ก็ไม่อาจกลับมารวมกันเป็นหนึ่งได้อีก เราอาจคาดหวังจะได้หนังหรือละครที่มีพลอทเกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มสาวจากสองดินแดนในแผ่นดินเดียวที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่เชื่อว่าคนคิดพลอทก็คงปวดหัว เพราะไม่รู้ว่าจะผูกเรื่องเพื่อสร้างความสัมพันธ์ของสองตัวละครได้อย่างไร เมื่อทั้งสองคนไม่อาจข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาไปได้ หรือหากข้ามได้ ก็คงโดนยิงล้มลงไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวออกจากประเทศตน, ทั้งสองคนไม่อาจติดต่อกันได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าทางฝ่ายเหนือปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก หรือหากจะเป็นความรักของหนุ่มใต้กับสาวเหนือที่อพยพเข้ามาใต้ได้สำเร็จ ก็คงไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่ ดังนั้น ทางออกเดียวที่จะสร้างเรื่องราวความรักสุดประทับใจ และอัศจรรย์ขนาดนี้ได้ ก็ต้องทำให้ตัวละครทั้งสองอยู่ในสถานะ "เหนือกฎเกณฑ์" ความเป็นจริงที่มีอยู่ และนั่นแหละ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา ความรักระหว่างกษัตริย์เกาหลีใต้ และครูฝึกประจำหน่วยรบพิเศษที่มาจากตระกูลชั้นสูงของเกาหลีเหนือ ในซีรีส์ The King 2 Hearts
The King 2 Hearts เล่าถึงกษัตริย์เกาหลีใต้ "อีแจคัง" (Lee Sung-min) ผู้ที่มีความใฝ่ฝันจะได้เห็นสองเกาหลีรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับเยอรมันที่ไม่มีกำแพงเบอร์ลิน กษัตริย์อีแจคังประกาศส่งทีมเกาหลีเข้าร่วมแข่งขันทักษะทหารโลก (World Officer Championship, WOC) ในนามของทีมคาบสมุทรเกาหลี โดยมีตัวแทนจากทั้งเหนือและใต้ เข้าฝึกซ้อม และลงแข่งขันร่วมกัน ด้วยหวังว่า ความร่วมมือทางการทหารน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นสัญญาณอันดีในการรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
"อีแจฮา" (Lee Seung-Gi) Crown Prince ผู้ที่เคลมตัวเองว่ามีไอคิว 187 ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของฝั่งเกาหลีใต้อย่างไม่เต็มใจมากนัก แต่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของรัฐและราชวงศ์ เขาก็ไม่มีสิทธิ์เลือกหรือเปลี่ยนใจ ด้านเกาหลีเหนือ ก็ส่งหัวหน้าทีมเป็นครูฝึกหญิงแห่งหน่วยรบพิเศษ "คิมฮังอา" (Ha Ji-Won) ผู้แข็งแกร่งขนาดที่สามารถเอาชนะผู้ชายได้ในการแข่งขันต่อสู้ด้วยมือเปล่า มาเป็นตัวแทนพร้อมลูกทีมอีกสองคน ทั้งสองคนได้พบกันระหว่างการซ้อมทั้งที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ มีเรื่องราวระทึกใจเล็กน้อย และเมื่อการซ้อมสิ้นสุดลง ก็มีข่าวปล่อยออกมาว่า มีความพยายามที่จะจัดการให้อีแจฮาแต่งงานกับสาวจากฝ่ายเหนือ ซึ่งเธอคนนั้นก็คือคิมฮังอา
เมื่อเป็นดังว่า และคิมฮังอาเองก็ประกาศต่อหน้าสื่อว่าเธอจะหมั้นกับอีแจฮา เธอเลยกลายเป็นคนเกาหลีเหนือคนแรกที่ได้ถือสองสัญาชาติคือเหนือและใต้ และสามารถเดินข้ามเส้นสีเหลืองที่กั้นสองประเทศเอาไว้ได้โดยสะดวก เธอต้องเข้ามาเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเกาหลีใต้ ในฐานะคนฝ่ายใต้ เพื่อเตรียมตัวเป็นคู่หมั้น และราชินี ต่อมากษัตริย์อีแจคังถูกลอบปลงพระชนม์พร้อมพระราชินี อีแจฮาต้องขึ้นเป็นกษัตริย์แทนอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาระหน้าที่อันหนักอึ้งมาพร้อมกับการต้องจัดการกับศัตรูตัวเป้ง "คิมบงกู" (Yoon Je-Moon) แห่งคลับ M องค์กรค้าอาวุธข้ามชาติที่ทรงอิทธิพลมาก ที่กำลังจะเสียผลประโยชน์ครั้งใหญ่หากเกาหลีเหนือและใต้รวมชาติกัน จากนั้นมันก็เลยเป็นการต่อกรชิงไหวชิงพริบกันไปมาระหว่างเกาหลี (ที่ต้องร่วมมือกันชั่วคราว) กับคลับ M โดยการนำของคิมบงกู ที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลหลายชาติ รวมถึงมหาอำนาจอย่างจีนและอเมริกา ซึ่งเดิมพันของการต่อสู้กันครั้งนี้ คือความสงบสุขบนคาบสมุทรเกาหลี การดำรงอยู่ของราชวงศ์เกาหลีใต้ และความรักของอีแจฮาและคิมฮังอา
เพื่อให้พลอทความรักข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาเกิดขึ้นได้จริง ผู้สร้างก็เลยต้องสมมติให้ราชวงศ์โชซอนของเกาหลีใต้กลับมาเฟื่องฟูและกลายเป็นสถาบันที่ยังมีบทบาทในการปกครองประเทศอยู่ เพราะในความเป็นจริงราชวงศ์ถูกลดบทบาทลงมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองและกษัตริย์ก็เป็นตัวแทนของอาณาจักรเกาหลีเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ก่อนที่จะถูกญี่ปุ่นเข้าปกครองและล้มล้างราชวงศ์ ก่อนที่ชะตากรรมของคาบสมุทรเกาหลีจะดำเนินไปตามเกมการเมืองของชาติใหญ่โตและส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นความพยายามแรกที่จะฟื้นเอาภาพเก่าๆ ของอาณาจักรเกาหลีเดิมกลับมา สร้างเงื่อนไขให้กับเรื่องให้ดำเนินต่อไปได้ แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงในแบบที่ว่า เราไม่ได้กำลังดูละครแฟนตาซีหรืออย่างไร (แต่จริงๆ ความเป็นแฟนตาซีในเรื่องนี้มีอยู่เยอะเลยทีเดียว)
อีแจฮา ที่รับบทโดย อีซึงกิ เป็นกษัตริย์ที่มีเสน่ห์ ฉลาด ขี้เล่น แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบจนเหนือจริง เราว่าตัวละครนี้ซับซ้อนนิดนึงตรงที่เขาแสดงออกว่าไม่อยากขึ้นเป็นกษัตริย์ และเราก็เชื่อแบบนั้น แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะในบางแววตา และการแสดงออกในบางฉาก เราก็จะเชื่ออยู่บ้างว่า แท้จริงภายในเขาก็มีความพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์อยู่ เพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา เลยสร้างบุคลิกขี้เล่นและไม่จริงจังกับอะไรขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งเราว่าอีซึงกิทำได้ดีในตรงนี้ และการแสดงของเขาในเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจและมีเสน่ห์มาก คือไม่ได้หล่อ แต่รู้สึกว่าเป็นคนฉลาด วิธีการพูด การเล่นหูเล่นตามันช่างแพรวพราวและมีไดนามิคมาก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คงต้องบอกว่าเขามี Charisma ในระดับที่สูงปรี๊ด เราก็ไม่ได้รู้จักชื่อเสียงเขามากเท่าไหร่ แต่เท่าที่รู้เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถรอบตัวคนนึง เคยเป็นประธานนักเรียน เป็นนักร้องที่ดัง เป็นนักแสดงที่ดี เป็นพิธีกรก็ได้ เออ ก็เป็นผู้ชายแบบนี้สมบูรณ์แบบแบบนี้แหละนะ
ส่วนฮาจีวอน ที่รับบทคิมฮังอา ต้นเหตุที่ทำให้เราได้ดูซีรี่ส์เรื่องนี้ ก็ยังคงรักษามาตรฐานการแสดงของเธอเอาไว้ได้ มีสองอย่างที่น่าชื่นชม หนึ่งคือการต้องพูดสำเนียงเกาหลีเหนือตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเราว่ามันไม่ง่ายเลย เท่าที่หาข้อมูล ฮาจีวอนต้องฝึกซ้อมกับครูชาวเกาหลีเหนือที่อพยพมาฝั่งใต้ตั้งแต่ก่อนจะถ่ายทำไปจนปิดกอง เธอเขียนสัญลักษณ์การออกเสียงสูงต่ำเอาไว้ในบท เพื่อให้แน่ใจว่าที่พูดไปนั้นถูกต้อง ซึ่งเธอก็ได้รับเสียงชื่นชมไปเยอะเรื่องความพยายามและความสมจริง (เธอได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถในการพูดเกาหลีสำเนียงท้องถิ่นได้หลายสำเนียง เช่นเกาหลีเหนือใน TK2H, สำเนียงปูซานใน Haeundae)
และสองคือสายตาของเธอที่ขโมยซีนทุกสิ่ง เพราะตัวละครนี้มันซับซ้อนและสวิงไปมา คือด้วยบทบาทหน้าที่ของตัวละครนี้ที่เป็นทหารระดับครูฝึกหน่วยรบพิเศษ เข้มแข็ง เก่ง และเด็ดขาดมาก แต่ในอีกมุมเธอก็เป็นผู้หญิงคนนึงที่อยากจะมีความรักกับเขาบ้าง อยากจะได้ปลดปล่อยด้านที่เป็นผู้หญิงมากๆ ออกมาให้ใครได้เห็นบ้าง แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เรายังอยู่กับตัวละครคิมฮังอาก็คือสายตาของเธอที่ไม่ว่าเธอจะอยู่ในบทบาทไหน เป็นทหาร เป็นราชินี เป็นลูกสาว เป็นแฟน เราก็จะยังเชื่อว่าข้างในของเธอคือคิมฮังอา
แต่ด้วยบทคิมฮังอาที่มันสวิงไปมานี่แหละที่ก็ทำให้เราปวดหัวเหมือนกัน หรืออาจจะเป็นเพราะเราติดติดภาพของฮาจีวอนจากงานเก่าๆ ของเธอที่ส่วนใหญ่แล้วจะได้เล่นเป็นพวกผู้หญิงสู้ชีวิต แกร่งไม่ง้อใคร ใน Secret Garden, หญิงสู้คลื่นยักษ์ ใน Haeundae และแกร่งขนาดออกไปสู้สัตว์ประหลาดใน Sector 7 ดังนั้นพอคิมฮังอาในช่วงกลางเรื่องกลายเป็นสาววัยสามสิบกว่าที่แต่งตัวเป็นตุ๊กตาบาร์บี้และแอ๊บแบ๊วเบาๆ เราก็จะตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย จนพาลให้ไม่เชื่อและไม่อินเรื่องในช่วงนั้นไปเลย ซึ่งก็เข้าใจว่าผู้เขียนคงอยากให้เราเห็นว่าจริงๆ หญิงแกร่งนี่มันก็มีด้านใสๆ และอ่อนหวานเหมือนกันนะ แต่เรายังไม่เชื่อและเข้าไม่ถึงตรงนั้นอยู่ดี
อีกอย่างที่เราติดใจนิดหน่อย ก็คือการจับคู่กับของพระนางเนี่ยแหละ เพราะในความเป็นจริงสองคนนี้อายุห่างกัน 8 ปี! (ซึงกิ 26 ฮาจีวอน 34) แต่อีแจฮาและคิมฮังอาในเรื่องอายุเท่ากันคือ 30 ปี มันก็ยากสำหรับนักแสดงทั้งสองคนแล้วที่ต้องเพิ่มและลดอายุตัวเอง (ฮาจีวอนนี่ยากมาก เพราะเจ๊ต้องลดอายุตัวเองให้สมกับซึงกิให้ได้) ดังนั้นในบางฉาก เราก็จะอดคิดไม่ได้ว่านี่พี่สาวกับน้องชายกอดกันอยู่หรือยังไง และเคมีของสองคนนี้ยังเข้ากันไม่ลงตัวเท่าไหร่ ซึ่งก็ยังดีที่ครึ่งหลังเนื้อเรื่องไม่ได้โฟกัสไปที่ความรัก หรือฉากหวานๆ ของสองคนนี้มากนัก แต่เคลื่อนเรื่องด้วยปมความขัดแย้งและการต่อกรกับคลับ M และเน้นให้นักแสดงทั้งสองแยกย้ายกันไปแสดงตามเรื่องตามราว ซึ่งก็ช่วยลดความไม่เชื่อในใจเราไปได้เยอะ
ที่น่าจดจำคือการแสดงของ ยุน ยอ จอง (Yoon Yeo Jung) ในบทของพระชนนีของกษัตริย์ทั้งสอง แกที่เล่นแบบไม่แคร์คนรอบข้างจริงๆ ทำให้เราได้เห็นพระชนนีที่เหมือนจะหมดแรงอยู่ตลอดเวลาแต่ทว่าก็มีแววตาที่เข้มแข็ง เป็นความแห้งแล้งของอำนาจที่หลงเหลือในตัวละครนี้ ที่ดูเหมือนว่า จริงๆ แล้วเธอก็เป็นแค่หญิงแก่ที่อยากจะพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวก็เท่านั้น
ถ้าตัดรายละเอียดเล็กน้อยด้านความสมจริง เช่น การโทรหากัน และไปมาหาสู่กันได้ตลอดเวลาระหว่างเหนือใต้ (ที่เราเองก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าในคนระดับสูงเนี่ยอาจจะทำได้จริงอย่างในละครก็ได้) และดูที่เส้นเรื่องหลักก็ต้องชมว่าคนเขียนผูกเรื่องไปได้ไกลมากและก็วกกลับมาได้สวยงามดี โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เราอาจจะคิดเอาไว้ล่วงหน้าว่ามันต้องเศร้าแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าบทละครมันพาเราไปทางการเมืองและความสัมพันธ์ระดับชาติแบบสุดๆ มีฉากการเจรจากับศาลโลก มีสภาของสหรัฐ รัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันกลายเป็นสเกลมหภาคไปเลย และเมื่อเรื่องขมวดมาจนถึงจุดสุดท้าย จากเรื่องราวที่มัน Go so big มากๆ กลับคลี่คลายด้วยทางออกที่ง่ายและสวยงามที่สุด ที่เราก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะจบแบบนี้ และเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะ romanticize อะไรขนาดนั้นด้วยนะ คือเป็นทางออกในตอนจบที่ง่าย แต่คิดไม่ถึง และก็มีเหตุผลตอบเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งหมดด้วย
ด้านโปรดักชั่น เราไม่ได้เป็นแฟนละครเกาหลีมากเท่าไหร่ แต่งานด้านภาพของ The King 2 Hearts ก็ไม่แพ้เรื่องไหนเหมือนกัน อีกอย่างที่ต้องชมมากคือองค์ประกอบศิลป์ทั้งหลายที่แม้ในบางฉากจะดูประดิษฐ์เกินงาม แต่โดยรวมแล้วมันสมจริงน่าเชื่อมาก โดยเฉพาะฉากตรงเขตเส้นขนานที่ 38 องศา ที่เรามักจะเห็นตามรีวิวท่องเที่ยวเกาหลี กลายมาเป็นฉากที่เห็นบ่อยๆ ในเรื่องนี้และมันเหมือนจริงมาก
เรตติ้งของเรื่องนี้ไม่ได้เยอะตามที่ใครคาดไว้ล่วงหน้า อยู่ในอันดับสามด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาที่หนักมากตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป ผู้ชมต้องใช้พลังงานประมาณนึงเลยที่จะติดตามและเข้าใจเรื่องทั้งหมด บวกกับไม่ได้มีฉากรักกุ๊กกิ๊กมากมายนัก รวมถึงแนวคิดเรื่องการรวมชาติที่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้อินเท่ากับคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่า ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวกันจริงๆ จังๆ ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าละครเรื่องนี้จะน่าดูน้อยลงแต่อย่างใด กับส่วนตัวเราที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องเกาหลีเหนือ-ใต้ มาระยะหนึ่ง การได้ดูเรื่องนี้ก็ทำให้เราเข้าใจบางอย่างมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เกิดคำถามมากมายที่ต้องไปหาคำตอบต่อเช่นกัน เพราะละครมันก็ได้ถูกพัฒนาให้เกิน หรือลดทอนความเป็นจริงออกไปบ้างเพื่อความบันเทิง อย่างน้อยที่สุดที่เราพอจะรู้คือ ความรักข้ามพรหมแดนที่คนเราขีดขึ้นมาเองอย่างในเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้ ความหวังที่สองชาติที่มีภาษาและวัฒนธรรมเดียวกันจะรวมกันอีกครั้งคงไม่อาจเกิดได้ง่ายๆ ราชวงศ์ในเกาหลีใต้ไม่ได้เฟื่องฟูอย่างที่เห็น และทหารหญิงที่เถียงและดื้อดึงกับผู้ใหญ่ในกองทัพอาจไม่ได้เจอตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งอย่างในละคร
สุดท้ายก็แฟนตาซีทั้งนั้น...
ปล. ไม่ได้เขียนถึงคู่รองเลย แต่ว่าเป็นคู่ที่น่ารักดี และโจจุงซุก (Jo Jung-Suk) ในบทอึนชิกยอง ก็เล่นดีมาก เท่มาก ถึงแม้ว่าจะพูดน้อยแต่ว่าก็โคตรอารมณ์เลย ส่วนบทองค์หญิงอีแจชิน (Lee Yoon-Ji) ที่ต้องนั่งรถเข็นตลอดทั้งเรื่องก็เป็นบทที่น่าสนใจมาก เราชอบในแง่ที่คนเขียนสร้างตัวละครนึงขึ้นมาให้คนกำลังจะรัก แล้วก็ค่อยๆ ทำลายด้วยการมอบความสูญเสียบางอย่างให้กับเธอทีละน้อยๆ ซึ่งมันทรมานมาก น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าทำไมต้องผูกเรื่องของตัวละครนี้เป็นแบบนี้ มีเหตุผลอะไร ส่วนในแง่การแสดง อียุนจีทำดีมากสำหรับบทที่น่าเศร้าบทนี้
ปล2. เพลงประกอบของเรื่องนี้เพราะทั้งสองเพลง เพลงแรกคือ 사랑이 운다 (Sarangyi Unda, Love Is Crying) โดย K.Will และอีกเพลงที่เราชอบมาก คือ 미치게 보고 싶은(Michige Bogo Sipeun, Missing You Like Crazy) โดย Kim Tae Yeon แห่งวง SNSD
0 comments: