Lost in Thailand: หนีห่าวไท่กั๋ว
Lost in Thailand: หนีห่าวไท่กั๋ว
(บทความนี้ตีพิมพ์ในหนังสือ Barefoot ฉบับเดือนมิถุนายน 2556)
เมื่อปลายปีที่แล้ว (2555)
มีหนังจีนเรื่องหนึ่งที่หลังจากเข้าฉายไม่กี่วัน
ก็พาตัวเองพุ่งทะยานกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดในประเทศจีน
เอาชนะทั้งแชมป์เก่าที่ขึ้นหิ้งมายาวนานอย่าง Titanic และหนังที่โชว์พลังจินตนาการและความทะเยอทะยานด้านวิชวลของมนุษย์อย่าง
Avatar ลงไปได้ราบคาบด้วยรายรับสูงกว่า 220 ล้านเหรียญ หนังจีนเรื่องนี้ไม่ได้กำกับโดยจางอี้โหมว
ไม่ได้ลงทุนด้วยเงินมหาศาล (ทุนสร้างประมาณ 2 ล้านเหรียญ)
ไม่ได้มีพลอทใหญ่โตอิงประวัติศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นหนังที่มีนักแสดงนำอยู่
3 คน เดินเรื่องด้วยสถานการณ์วายวอดชวนขันครั้งแล้วครั้งเล่า
และที่สำคัญ คือกว่า 90% ของหนังนั้นมาถ่ายทำในเมืองไทย
เรากำลังพูดถึง Lost in Thailand (2012) หรือชื่อไทยกวนๆ
ว่า “แก๊งค์ม่วนป่วนไทยแลนด์”
หนังสัญชาติจีนแผ่นดินใหญ่ที่พาทีมงานกองถ่ายหอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาถ่ายทำกันที่เมืองไทยของเรานี้เอง
เพราะหนังเล่าเรื่องของฉีหลาง นักธุรกิจที่เพิ่งคิดค้น “ซุปเปอร์ออยล์”
เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการพลังงานของโลก เขาต้องเก็บกระเป๋าเดินทางมาหา
อาโจว เจ้าของเงินทุนเพื่อขอพัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ต่อไป แต่การเดินทางมายังสยามประเทศครั้งนี้มันไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่
เพราะนอกจาก “เก๋าโบ” คู่แข่งคู่แค้นที่ตามมาขัดขวางความเจริญของเขาแล้ว
อาฉียังต้องเจอกับ “หวังเป่า”
ผู้ชายหน้าซื่อจิตใจดีที่ถือต้นกระบองเพชรติดมือเอาไว้ตลอดเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยความเต็มใจอย่างเสียมิได้
จากปักกิ่งสู่สุวรรณภูมิ สู่ดอนเมือง หัวลำโพง และทั่วจังหวัดเชียงใหม่ กลายเป็นทริปสุดโหดพิสูจน์จิตใจ
และสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่แตกต่างกันสุดขั้วทั้งสองคน
พล็อทหนังไม่มีอะไรแปลกใหม่
มันดำเนินไปตามสูตรซ่อมและสร้างผ่านการเดินทาง อันเป็นหัวใจของของหนังแนว Road Movie ไม่ผิดเพี้ยน
เราจะรู้สึกว่าหนังได้รับแรงบันดาลใจมาจากทั้ง The Hangover 2 (2011) ที่มาถ่ายทำในเมืองไทยเช่นกัน
และอีกเรื่องคือ Due Date (2010) ที่มีคาแรกเตอร์ตัวละครหลักเป็นชายหนุ่มเก่งเพอร์เฟ็คต์ทุกประการ
กับคู่หูที่เป็นไอ้ห่วย เซ่อซ่า แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะโกรธเขาไม่ลง Lost in
Thailand มีทั้งสององค์ประกอบนั้น
และถูกปรุงใหม่ด้วยรสชาติที่ทำให้เรานึกถึงหนังจีนเก่าๆ ของโจวซิงฉือ
อันเป็นรสชาติหนังตลกที่ถูกปากชาวเอเชียอย่างเราๆ
อย่างหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นส่วนที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จถล่มทลายขนาดนี้
ก็คือความสามารถในการสร้างความตลกจากสถานการณ์ (Situation Comedy) ที่นำพาตัวละครไปเผชิญกับความผิดพลาดวายป่วงครั้งแล้วครั้งเล่า
ความฮาอันเกิดจากสถานการณ์ บวกกับการแสดงสีหน้าซื่อๆ ยียวนกวนประสาท
และจังหวะที่แม่นยำมากทั้งของนักแสดงและผู้กำกับ ล้วนเป็นข้อดีที่ทำให้หนังไปได้ไกลกว่าการเป็นตลกในประเทศ
เพราะเมื่อมุขตลกไม่ได้อาศัยบทพูดมากนัก หนังจึงสามารถข้ามกำแพงด้านภาษา
แล้วใช้ท่าทางการแสดง และจังหวะที่แหลมคม
อันเป็นภาษาสากลซัดคนดูให้เข้าใจและสนุกไปกับหนัง (ส่วนคนไทย
ก็อาจจะฮาขึ้นไปอีกขั้นด้วยความสามารถเฉพาะทีมของทีมพากย์พันธมิตร)
ประเทศไทยในหนังเรื่องนี้ถูกมองด้วยสายตาที่เป็นมิตร
อาจจะเพราะเป็นหนังจากเพื่อนร่วมทวีปเอเชียที่มีความใกล้ชิดกันพอสมควร
มีการรวมเอาสิ่งที่คนอยากเห็นเมื่อพูดถึงเมืองไทยเอาไว้ ทั้งรถตุ๊กตุ๊ก, รถติด,
ช้าง, มวยไทย, สาวประเภทสอง ฯลฯ ความ “เป็นไทย” ในสายตาของผู้สร้าง
สะท้อนความเป็นเราที่เป็นจริงอยู่มาก
เช่นความเซนซิทีฟของคนไทยต่อการขโมยสิ่งศักดิ์สิทธิ์, ความใจเย็น ใจดี
และยืดหยุ่นได้ง่ายเกินไปของเราที่มักเป็นช่องโหว่ให้เกิดการกระทำผิดอยู่เสมอๆ
ถูกนำเสนอด้วยน้ำเสียงที่ยิ้มให้ แต่ก็หยิกหยอกเราให้เจ็บเบาๆ อยู่เหมือนกัน
จึงไม่น่าแปลกที่เมื่อหนังฉาย
คนจีนจะแห่เข้ามาเที่ยวเมืองไทย (โดยเฉพาะเชียงใหม่) กันอย่างคึกคัก
และน่าจะรักษาความฮิตแบบนี้เอาไว้ได้อีกนาน
พลังของสื่ออย่างภาพยนตร์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือมีการเล่าเรื่องผ่านภาพและเสียง
ทัศนียภาพที่สวยงามถูกนำเสนอผ่านหน้าจอที่ใหญ่ที่ให้รายละเอียดชัดเจน
การตระเวนไปตามที่ต่างๆ
ของตัวละครและพบเจอเหตุการณ์และคนในพื้นที่ทำให้ผู้ชมอาจคาดเดาสิ่งที่ตนน่าจะได้เจอเมื่อไปเยือนเมืองนั้นเอาไว้ล่วงหน้าได้
หลายประเทศจึงส่งเสริมให้กองถ่ายหนังและละครมาใช้ฉากในประเทศตนถ่ายทำ เพราะแรงกระเพื่อมที่เห็นได้ชัดแน่ๆ
ก็คือการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว รัฐบาลไทยเองก็มีการออกมาตรการทางภาษี
ในการยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้ของนักแสดงต่างประเทศเหมือนอย่างที่หลายประเทศเพื่อนบ้านของเราทำ
เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ
แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังผลกระทบที่จะตามมาเช่นกัน
อย่างเช่นข้อสังเกตเรื่องผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศหลังกอง The Beach (2000) เข้ามาใช้อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่เป็นสถานที่ถ่ายทำนานหลายเดือน
การได้รับฟังความเป็นตัวเราจากการบอกเล่าผ่านสายตาคนอื่น
เป็นภาพสะท้อนสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามสร้าง
เหมือนเช่นที่เราได้เห็นภาพของเมืองไทยในหนังนอกที่อาจจะทั้งทำให้เรายืดอกภูมิใจ
และขัดใจได้เช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก
แต่เป็นสิ่งที่เราควรน้อมรับมาปรับปรุงจุดบกพร่อง และเสริมจุดแข็งให้ยิ่งแกร่งมากขึ้น
และหากกระแส Lost in Thailand จะยังฮิตไปเรื่อยๆ
อยู่ในเมืองจีนล่ะก็ คงถึงเวลาที่เราจะฝึกภาษาจีนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกันซักที :)