The Fault in Our Stars
The Fault in Our Stars(2014, Josh Boone, B-)
มันเป็นเรื่องเศร้าที่เล่าแบบสว่าง ตั้งแต่อ่านหนังสือแล้ว คือเราไม่ได้ร้องไห้ตาบวมสลบคาหนังสือแล้วตื่นขึ้นมาร้องใหม่ แต่พออ่านจบแล้วมันจะหนักๆ ซึมๆ กำลังจะหดหู่แล้วแต่ก็ยังพอเห็นแง่งาม มองเห็นความหวังอยู่บ้าง ซึ่งในหนังมันก็ยังทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนั้นนะ คือไม่ได้เศร้าจนต้องฟูมฟายอะไร
โอเค พลอทมันมีวัตถุดิบเรียกน้ำตาอยู่แหละ เพราะมันเป็นหนังมะเร็ง แล้วไม่ได้เป็นคนเดียวด้วย คือคนสองคนที่เป็นมะเร็งมารักกัน ยังไม่ต้องอ่านต้องดูก็มองเห็นความเศร้าอยู่รำไร แต่วิธีการเล่าของ John Green (คนเขียนหนังสือ) มันต่างไป คือเอามะเร็งไปเป็นเรื่องรอง แล้วดึงชีวิตขึ้นมาเป็นเรื่องหลัก แถมตัวละครยังเป็นวัยรุ่นอีก เฮ้ย คือมันเศร้า วัยรุ่นที่กำลังสว่างไสวต้องมาเจอโรคร้ายแบบนี้มันเศร้า แต่เขาเล่าแบบเอาเรื่องเศร้าไว้ข้างล่าง เอาความสดใสขึ้นมาข้างบน เพื่อบอกว่าคนพวกนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ยังทำนู่นนี่ได้แม้ว่าจะมีถังอ๊อกซิเจนกับขาเหล็กเป็นเครื่องระลึกว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแรงดี
ประเด็นหนึ่งในหนัง พูดถึง "ความกลัวที่จะถูกลืม" กลัวว่าวันนึงถ้าเราไม่อยู่แล้ว เราจะไม่มีตัวตนแม้ในความทรงจำของใคร ทำให้นึกถึงหนังญี่ปุ่น A Story of Yonosuke (2013) ที่พูดถึงเรื่องประมาณนี้เหมือนกัน แต่เล่าโดยผ่านคนรอบตัวที่เคยทำอะไรร่วมกับโยโนสุเกะ พอดูจบเราจะรู้จัก และรักโยโนสุเกะ แม้ว่าเขาจะมาในแบบชิ้นส่วนความทรงจำของคนโน้นคนนี้ก็ตาม
เราชอบที่บทมันเก็บประเด็นจากหนังสือมาครบถ้วนดี แบบบทมันแม่นและแน่นมาก ชื่นชมผู้เขียนบทเลย แต่หนังมันยังไม่ค่อยแม่นยำเท่าไหร่ ช่วงต้นจะเห็นได้ชัด แต่ช่วงหลังดีขึ้นในระดับเอาตัวรอดไปได้ ดีที่สุดสำหรับเรามีอยู่สองตอน คือฉากปาไข่ (ร้องไห้ก็ตอนนี้แหละ) และฉากที่บ้านแอน แฟรงค์ คือมันเป็นซีนโปรดตั้งแต่อ่านหนังสือแล้ว และคาดหวังมาก และพอหนังทำถึงจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี
สงครามและโรคร้ายขโมยความสว่างไสวของชีวิตวัยรุ่นไป แต่เรื่องเล่าของพวกเขายังอยู่ และตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ
0 comments: