JP14 EP.13: Hashi - สะพาน
13.はし
HASHI สะพาน
มาเมืองท่า ถ้าไม่ได้เจอทะเล ก็เหมือนมาไม่ถึง...
เนื่องจากเพิ่งไปหาหมอมา และตั้งจิตเอาไว้แล้วว่าจะรักษาขาของตนยิ่งกว่าลูกเสือรักษาสัตย์ เพื่อถนอมออมแรงเอาไว้ลุยหนักๆ ที่นาราในวันพรุ่งนี้ แพลนเดิมที่จะเที่ยวโกเบแบบฮาร์ดคอร์ แวะทุกจุด ชมทุกมุม จึงต้องเป็นอันพับเก็บไป บอกตัวเองว่า เบาๆ นะมึงนะ เอาเท่าที่ได้ ไว้ค่อยกลับมาใหม่นะโกเบไม่หนีมึงไปไหนหรอก เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เคว้งคว้างเลย
คือพอเราวางแผนอะไรมามากๆ สมมติว่าทำมาสิบ แต่ต้องเลือกเอาไว้แค่สามนี่มันยากนะ ไม่รู้จะเลือกอะไรเข้าอะไรออกดี พอจะตัดก็พาลอยากจะตัดแม่งออกทั้งหมด ถ้าอันนี้ไม่สำคัญ อันนี้ก็ต้องไม่สำคัญด้วย ตัดไปตัดมา อ้าว กูนั่งรถไฟกลับเลยมั้ยถ้างั้น ไม่เหลืออะไรให้เที่ยวแล้วโว้ย
แต่ที่เดียวที่ไม่อยากตัดออก รู้สึกว่าอยากไปแน่ๆ ก็คือที่ที่เรายืนอยู่นี่แหละ สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge 明石海峡大橋)
ตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบิน ช่วงที่ใกล้ๆ จะแลนดิ้ง มองลงมาก็จะเห็นสะพานนี้ชัดมาเลยจากข้างบนนั้น พอมามองจากมุมบนพื้นดิน ไอ้สิ่งก่อสร้างนี้มันก็ยิ่งใหญ่ดีจริง สมเป็นสะพานแขวนข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก (ส่วนที่อยู่ข้ามน้ำ)
แต่ก่อน การสัญจรผ่านช่องแคบอาคาชิ (Akashi Strait) ระหว่างเกาะฮอนชูที่เมืองโกเบ กับเมืองอิวายะ บนเกาะอะวาจิ (Iwaya, Awaji Island) ที่ตั้งอยู่ฝั่งเกาะชิโกกุ นั้นจะใช้เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเป็นหลัก ซึ่งทะเลแถวนั้นก็คลื่นลมแรงใช้ได้ จนเมื่อปี 1955 ก็เกิดอุบัติเหตุเรือข้ามฟากสองลำล่มจนได้ และมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้น 168 ราย จากนั้นมา รัฐบาลญี่ปุ่นก็เลยต้องกลับมาทบทวนช่องทางการสัญจรระหว่างเกาะกันใหม่ จนเกิดเป็นโปรเจ็คต์สะพานเชื่อมต่อฮอนชู - ชิโกกุ (Honshu-Shikoku Bridge) และจึงมาเป็นสะพานอาคาชิไคเคียว สะพานที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้จริง และทำให้การคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคสะดวกสบาย และที่สำคัญคือมันปลอดภัยขึ้น
ขอบคุณที่เขาคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก...
การมาเยี่ยมสะพานอาคาชิไคเคียวนั้นเวรี่ง่าย เพราะแค่ออกมาจากสถานี JR Maiko ที่โกเบก็จะเจอสะพานจ่ออยู่ตรงหน้าเลย (จริงๆ ต้องเดินออกมานิดนึงนะ อีนี่ก็เว่อร์) และเราสามารถเลือกวิธีสำรวจสะพานได้หลายแบบ อย่างแรกคือเจาะลึกให้ถึงกึ๋น สำรวจให้ถึงทุกโครงสร้างลำไส้ ผ่านการทัวร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่พาเราขึ้นไปจนถึงยอดสะพาน แถมยังเดินบนโครงเหล็กข้ามสะพาน นับเหล็กกันเลยว่ามีกี่เส้น ทัวร์แบบนี้จะต้องจองมาล่วงหน้า และเสียค่าเข้าประมาณ 3000 เยน แน่นอนว่าเราไม่มีเงินขนาดนั้น จึงขอบายออพชั่นนี้
วิธีที่สองคือเข้าชม Maiko Marine Promenade เสียค่าเข้าคนละ 250 เยน (ถ้าช่วงพีคตั๋วจะปรับขึ้นเป็น 310 เยน) ด้วยเงินเท่านี้ เราจะได้ขึ้นลิฟต์ไปที่ประมาณชั้นกลางๆ ของสะพาน (อยู่ใต้ถนนอีกที) มีทางเดินสั้นๆ ให้ได้กลับไปบอกเพื่อนว่า เฮ้ย กูมาเหยียบสะพานนี้แล้วนะเว้ย ส่วนที่ชั้นบนของอาคาร ก็มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก รวมถึงที่นั่งเฉยๆ เอาไว้พักขาและเปลี่ยนแผ่นกอเอี๊ยะเนื่องจากแผ่นแรกหมดฤทธิ์ยาไปแล้ว ... สำหรับคนทั่วไปก็เอาไว้นั่งมองวิวทะเลนี่แหละค่ะ มันโล่งมากจนอยากจะแนะนำให้บรรดาติวเตอร์เลิกใช้ฟู้ดคอร์ทตามห้าง แล้วพาน้องนักเรียนไปติวกันบนตึกนี้แทน วิวดีด้วย (ไม่ใช่เมืองไทยโว้ยยยยย)
ส่วนวิธีที่สามคือ ไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย เดินอยู่ข้างล่าง ถ่ายเซลฟี่คู่กับสะพานหนึ่งแชะ เช็คอินว่ามาถึงแล้วค่ะ จบแบบสั้นๆ ไม่ต้องดื่มด่ำอะไรเลย
เราเป็นเหยื่อวิธีที่สอง คือได้มีการขึ้นไปรับชมวิว สูดอากาศที่ด้านบนเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา ข้างบนนั้นเลยคนไม่เยอะมาก ตอนเราไป มีกลุ่มที่เข้าใจว่าเป็นนักศึกษาอาสาสมัคร พาคุณยายที่นั่งรถเข็นสามสี่คนมาเที่ยวชมสะพาน คิดถึงซีรี่ส์ Orange Days ขึ้นมาทันใด คิดถึงพระเอกที่เรียนสังคมสงเคราะห์แล้วก็ชอบช่วยคนแก่ คงเป็นฟีลลิ่งเดียวกับนักศึกษากลุ่มนี้
พอเดินจนทั่ว และเปลี่ยนแผ่นกอเอี๊ยะเสร็จแล้ว ก็กลับลงมาด้านล่าง เดินเล่นรับลมทะเลต่ออีกหน่อย รู้สึกว่าโชคดี เพราะตอนที่มาถึงเห็นเมฆทะมึนๆ มาแต่ไกล ฟ้าปิดมากจนถ่ายรูปไม่สวย เลยขึ้นไปดูสะพานข้างบนก่อน พอลงมาฟ้าก็เปิด ทั้งที่ก่อนมาดูพยากรณ์อากาศ ทำใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้ฝนตกแน่ๆ แต่พอเอาเข้าจริงเราหลบฝนทันตลอดเลย ขอบคุณฟ้าฝนที่เป็นใจ
ที่ริมอ่าวมีคนจูงหมามาวิ่ง มีคนมาตกปลา มานั่งเฉยๆ รวมถึงมานอน คือมีหลากหลายอิริยาบถมาก เป็นข้อดีของการมี Promenade ริมน้ำ ที่สร้างมาเพื่อเอื้ออำนวยให้คนใช้งานจริง คิดถึงตอนอยู่ที่กว๊านพะเยา ก็รู้สึกทำนองนี้เหมือนกัน คือคนแถวนั้นโชคดีที่มีทางเดินทางวิ่งสวยๆ มีน้ำอยู่ใกล้ๆ มีคนคิดถึงพวกเขาและสร้างทำให้มันดี
ตัดภาพกลับมาที่คลองภาษีเจริญแถวบ้าน ... ก็ตามนั้นแหละค่ะ ...
0 comments: