The Master (2014)
The Master
(2014, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A)
- รู้จักร้านพี่แว่นในนามร้านพี่คนนั้น ตอนอยู่ซัก ม.5 ได้มั้ง เป็นช่วงที่เข้าพันทิปบ่อย เริ่มหาหนังที่ไม่มีในร้านเช่าดู ซึ่งพอไปเสิร์ชก็จะเจอว่าหาได้ที่ร้านพี่คนนั้น แล้วมันพี่คนไหนวะห่า
- ไม่เคยไปร้านพี่คนนั้น แล้วก็หาหนังที่อยากดูไม่ได้ จนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่แหละถึงได้ไปยืมวิดีโอที่ห้องสมุดดู
- แต่ได้เป็นลูกค้าทางอ้อมของพี่แว่น ด้วยการซื้อแผ่นพี่แว่นแบบก๊อปอีกที ไม่รู้ว่าเป็นการก๊อปรอบที่เท่าไหร่ แต่ยังไงเราก็ได้เห็นโลโก้ร้านแกโผล่ที่มุมขวาบนในหนัง
- จึงถือว่ามีความผูกพันกับแกพอสมควร หนังที่แกโมก็ช่วยให้เราทำรายงาน และเรียนจบรอดออกมาเป็นผู้เป็นคนได้ จึงเอาดอกเข็มไหว้แผ่นหนังเวอร์ชั่นก๊อปพี่แว่นในวันไหว้ครู กราบบบบ...
- เพราะงี้ถึงไปดู The Master และเมื่อดูจบก็รู้สึกว่า ความผูกพันของเรานี่มันแค่กระผีกเดียวของคุณูปการของแกต่อวงการหนังนอกกระแสในเมืองไทยจริงๆ
- หนังมันเล่าเรื่องเหมือนฉีดยา พอทิ่มเข็มเข้าไปยามันก็เดินทางไปตามเส้นเลือดท่อใหญ่ตามทางที่มันเข้ามา จนไปเจอเส้นสายเส้นเลือดเล็กน้อยมันก็ไหลกระจายออกไป ตอนเริ่มต้นมันสงบมาก แต่พอสุดท้ายแล้วมันกระจัดกระจายยุ่งเหยิงไปหมดเลย
- เหมือนกับยุคสมัยด้วยมั้ง ช่วง 90 มันเหมือนจะเริ่มเปิด เริ่มกว้าง เริ่มทันสมัย แต่มันยังไม่สุดเพราะความอนาล็อก จนพอถึงช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค 2000 มันเร็วเลย จังหวะของหนังมันก็ช้าเร็วไปตามนั้นเหมือนกัน ช่วงต้นมันสงบมาก แต่ตอนท้ายคือมันเร็วไปหมดเลย
- เรารู้สึกมากตอนที่หนังมันพามาถึงจุดที่คนรุ่นลูกมันโตจนอิ่มแล้วจะมาฆ่าคนรุ่นพ่อ เรื่องลิขสิทธิ์นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยนะ คือหนังมันออกจะมีข้างชัดเจนอยู่ดูจากคนที่มาให้สัมภาษณ์ มันจึงเป็นหนัง Rise and Fall ของใครก็ไม่รู้ที่วันนึงแกมีอิทธิพลจากธุรกิจมืด (โห พูดแล้วดาร์คเลย) และแกเองก็กลายเป็นตัวละครสำคัญให้วงการภาพยนตร์ในบ้านเรามันโตขึ้นมา คนที่โตมากับธุรกิจมืดของแกพอถึงวันนึงเขาก็ทำเพื่อหนังที่เรารักเหมือนกัน แต่เป็นธุรกิจสว่าง (อย่างเคสเปิดโรงหนังเฮ้าส์) ช่วงสั้นๆ ในหนังตอนนั้นเราอยู่กับมันนานที่สุดเลย มานั่งคิดว่า เออ ถ้าแกเป็นคนยุคนี้ แกมีโอกาส มีทุนหรืออะไรพอสมควร แกจะเลือกทางนี้มั้ย
- เอาจริงๆ มันไม่ได้กระทบโดยตรงในทางธุรกิจหรอก เพราะโรงหนังยังไงก็ไม่มีทางฉายได้ทุกเรื่อง จำนวนเยอะได้เท่าหนังแผ่น มันแค่ขัดแย้งกันในทางคอนเซ็ปท์เฉยๆ
- กราบการตัดต่อที่ช่วยให้เราไหลไปตามหนังได้อย่างไม่สะดุดเลย แม้จะมีบางช่วงที่มันดูจะข้ามไทม์ไลน์ไปบ้าง คือถ้าแกไม่มีตัวเลขปีขึ้นมากำกับเราก็จะไม่มีปัญหาไง แต่ช่วงท้ายๆ ผู้ให้สัมภาษณ์แกพาเรามาใน context ปัจจุบันไปแล้ว แต่พอตัดขึ้นจุดเวลาในหนังมันขึ้นมาเป็นปี 2008 อ่ะเราก็จูนตัวเองกลับไปใหม่
- แต่มันก็เป็นการซื่อสัตย์กับฟุตเทจดี
- เราตื่นเต้นนะว่าจะได้เห็นใครโผล่ขึ้นมาให้การในหนังอีก การได้ชมได้ฟัง อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพชื่นชอบหลายๆ ท่าน ปรากฏตัวในหนัง ถือเป็นกำไรชีวิตข้อหนึ่ง
- ว่าแล้วก็คิดถึงร้านขายหนังญี่ปุ่นร้านนึงในเว็บ แต่ก่อนทุกอาทิตย์จะต้องเข้าไปดูในเว็บแกว่ามีหนังอะไรออกใหม่บ้าง ส่วนใหญ่มันก็ของร้านพี่แว่นนี่แหละ ยกเว้นหนังใหม่ๆ อยากดูเรื่องอะไรแกมีหมดเลย จนซักประมาณสองปีที่ผ่านมาอยู่ๆ แกก็หายไป ไม่มีรายการใหม่ๆ อัพเดตแล้ว จนสุดท้ายก็คือหายไปถาวรเลย เหงาเลยอ่ะ คือต่อให้ซื้อร้านอื่นที่ก็มีหนังก๊อปแบบนี้เหมือนกัน แต่ความใส่ใจในการเลือก การเขียนคำบรรยายสรรพคุณหนัง มันไม่เหมือนกันว่ะ เดี๋ยวนี้พวกร้านหนังก๊อปแม่งไม่เขียนบรรยายหนังแล้ว เน้นขาย เน้นแถมอย่างเดียวเลย
- แล้วก็พวกร้านโมแผ่นซีรีส์ญี่ปุ่นสมัยก่อน พี่ๆ แม่งแบบตั้งใจทำกันมาก คุณภาพแพ็คเกจนี่คิดกันมาอย่างดี งานคราฟท์ทุกชิ้น ไปดู Boxset ที่แต่ก่อนซื้อมาก็งงเหมือนกันว่าทำไมกูถึงต้องเสียเงินขนาดนี้เพื่อกล่องสวย และเป็นของปลอมด้วยวะเนี่ย (แต่จะเถียงอยู่ในใจว่า ก็มันไม่มีของจริงขายอ้ะะะะ)
- มีอันนึงพี่ต่อ คันฉัตรพูดไว้ ทำนองว่า คนรุ่นเรามันยังยึดกับอะไรที่ tangible อยู่ แต่วิถีชีวิตของเด็กรุ่นนี้มันไปดิจิตอลกันหมดแล้ว ก็ว่าจริงเหมือนกัน เรายังชอบซื้อหนังแผ่นอยู่ถึงแม้ว่าจะหาโหลด หรือดูออนไลน์ได้แล้ว แม้จะพยายามปรับตัวบ้าง แต่ยังไงก็ยังสบายใจเวลาหยิบแผ่นใส่เครื่องเล่น หรือเวลานึกอยากดู ก็ไปรื้อกล่อง แล้วเจอว่าเออ เรามีหนังเรื่องนี้อยู่ที่บ้าน
- ก็คงเป็นคนแก่ประมาณนึงเหมือนกัน...
romantic จัง
ReplyDeleteอื้อหือ....กูไม่ว่างอ่ะ อยากดูววว!!
ReplyDelete