JP14 EP.16: kengaku - ทัศนศึกษา
16.見学
KENGAKU ทัศนศึกษา
นักเรียน...นักเรียนเต็มไปหมดเลย
ตามที่เกริ่นเอาไว้แล้วว่านารานั้นก็คืออยุธยาของบ้านเรา ใครที่สมัยเรียนไม่ได้มาอึทิ้งไว้ที่อยุธยาถือว่าเรียนจบมาแบบไม่ครบเช็คลิสต์ (ลิสต์บ้านมึงสิ) นักเรียนทั่วฟ้าเมืองญี่ปุ่นต่างก็มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายกันที่นารานี่แหละ เพราะที่นี่คือเมืองหลวงเก่า มีพิพิธภัณฑ์เก็บของเก่า วัดโบราณ และกวาง (เดี๋ยวๆ กวางนี่ไม่น่าเกี่ยว...) ให้มาศึกษา และแน่นอนว่า ทำรายงานส่งด้วยจ้ะ
การไปทัศนศึกษาของเด็กญี่ปุ่นนั้นก็ทำกันตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบหมวกเหลืองเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่เท่าที่เคยอ่าน ดูเหมือนว่าเด็กญี่ปุ่นจะถูกฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองมากกว่าบ้านเรา ถ้าเป็นวัยอนุบาลหรือประถมต้น จุดประสงค์หลักของการไปทัศนศึกษาคือการฝึกให้เด็กๆ ได้ดูแลตัวเองนอกสถานที่ไกลมือพ่อแม่มากกว่าที่จะไปเอาความรู้ เวลาไปเที่ยวโรงเรียนก็จะนัดผู้ปกครองให้ไปเจอกันที่สถานีรถไฟซักที่ มากันครบคุณครูก็พาออกเดินทางขึ้นรถไฟไปด้วยกัน โบกมือบ๊ายบายโอก้าซังของเจ้าซะ
แต่ถ้าเป็นเด็กอนุบาลไทยนี่จะไปทัศนศึกษาทีนี่งานใหญ่ยิ่งกว่าขอวีซ่าอเมริกา ทางโรงเรียนต้องจัดรถบัสที่ปลอดภัย เบาะนุ่มเหมือนนอนอยู่บนอัลปาก้า อาหารของว่างต้องอย่าให้ขาด แต่ไม่เป็นไรแม่จัดเซ็ทของว่างไว้ให้ในเป้หนูแล้วลูก งานอัพเดตภาพสดโดยทีมงานฝ่ายสื่อของโรงเรียนต้องอย่าให้พลาดแม้แต่เสี้ยววินาที ไม่งั้นคุณพ่อคุณแม่มาเม้นถามแน่ๆ ว่าน้องอะตอมหายไปไหนคะ ครูใหญ่คงต้องเริ่มทบทวนนโยบายติดกล้องวงจรปิดไว้บนหน้าผากนักเรียน เพื่อให้พ่อแม่มอนิเตอร์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
แหม ก็ไปแซวเค้า...
ส่วนถ้าโตมาหน่อยก็จะเริ่มฮาร์ดคอร์ขึ้น จากเดิมที่นั่งรถไฟไปด้วยกัน ก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟไปเจอกันที่สถานีปลายทางเลยนะเอ็ง ระหว่างนั้นก็ดูแลตัวเองนะว่าต้องไปยังไง พวกนี้ใช้ได้สำหรับการเที่ยวเมืองใกล้ๆ ไปไม่ยาก และมีเลเวลหนักสุดคือยกชั้นไปเที่ยวโอกินาว่ากันอะไรแบบนั้นเลย ในหนังและซีรี่ส์ญี่ปุุ่นเกี่ยวกับพวกนักบิน หรือแอร์ จะชอบมีฉากนักเรียนไปเที่ยวแบบนี้บ่อยๆ
ตลอดทางเดินพื้นราบและชันในตัวเมืองนารา เราจะเจอเด็กๆ เต็มไปหมด ถ้าเป็นเด็กมัธยมก็ใส่เครื่องแบบหล่อสวยกันมาเลย ถ้าเป็นเด็กประถมก็แบ่งแถวหมวกแดงหมวกขาวเวรี่ญี่ปุ่น เท่าที่สังเกตคือ เด็กๆ จะถูกปล่อยให้เดินแบบอิสระเลย ไม่ได้มีใครนำทัวร์ หรือว่าถ้ามีคงผ่านช่วงอธิบายประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะภาพที่เห็นคือน้องๆ เดินกันเป็นกลุ่มๆ แต่จะหากันเจอเพราะว่าใส่เสื้อ หรือมีสัญลักษณ์บางอย่างเหมือนกัน
คิดว่าการมาทัศนศึกษายกชั้นที่นารามันคงต้องฮิตมาก ถึงขั้นมีบริการถ่ายภาพหมู่อยู่ตรงหน้าทางเข้าวัดโทไดจิ มีแสตนด์ตั้งแบบถาวรเลย คุณครูก็จะเรียกนักเรียนขึ้นไปเป็นห้องๆ ครูใหญ่กับครูประจำชั้นอยู่แถวหน้า เอ้า แอ๊คหนึ่งหน้านิ่ง แอ๊คสองยิ้ม แอ๊คสามฟรีสไตล์ เอ้า เสร็จแล้วครับ ห้องต่อไปเชิญเลย...
พนิตชนกผู้มีความรื่นรมย์กับตัวเมืองนารามากเป็นอย่างยิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้เห็นกลุ่มเด็กๆ เดินทำท่าเรียนรู้ยิ่งมีความสุข คือเห็นน้องขี้พี่ก็มีความสุขอ่ะ เลยอยากจะเก็บภาพเอาไว้หน่อย ระหว่างรอข้ามถนน เห็นน้องๆ เสื้อส้มกลุ่มหนึ่งยืนปรึกษากันอยู่ ถือสมุดเล่มสีส้มเป็นแผนที่เมืองนาราที่น้องวาดเอง ดูน่ารักดี เลยหันไปจะขอถ่ายรูปหน่อย พอเราพูดด้วยเท่านั้นแหละ น้องแม่งหันไปปรึกษากัน แล้วส่งตัวแทนหันกลับมาบอกเราว่า "พี่คะ พอจะมีเวลาว่างซัก 2-3 ชั่วโมงมั้ยคะ"
จริงๆ คือแค่ 2-3 นาทีโว้ยยยย...
ค่ะ น้องๆ กลุ่มนี้กำลังทำงานส่งครูกันอยู่ คิดว่าคงเป็นวิชาภาษาอังกฤษ เพราะน้องๆ ต้องสปีคอิงลิชเพื่อทักทายเหยื่อ เท่าที่สังเกตคือพวกฝรั่งจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะพอพูดว่าชาวต่างชาติ เด็กเอเชียอย่างเราก็ต้องนึกถึงฝรั่งหัวทองกันก่อนอยู่แล้ว เห็นพี่ฝรั่งบางคนโดนทัก "พอจะมีเวลาว่างซักแป๊บมั้ยคะ" ไปประมาณสี่สเตชั่น จะปฏิเสธก็ไม่ได้ สรุปแกก็ต้องพูดเหมือนเดิมทำการบ้านให้น้องๆ ไปจนครบสี่กลุ่ม ครูคงงงว่าประเทศกูนี่มีแต่อีจอห์นมาเที่ยวหรือไงวะ ทำไมนักเรียนถามอยู่คนเดียว
เลยมาคิดเองว่า เออ ถ้าเราไม่เข้าไปคุยกับน้องก่อน เราก็คงถูกมองข้ามเหมือนกันแหละ หน้าตาแบบเปลือกโลกฟิลิปปินส์ขนาดนี้
แม้น้องๆ จะมากันห้าคน แต่คนที่สปีคจริงๆ จะมีแค่สองคนเท่านั้น น้องถามว่าเราชื่ออะไร ซึ่งเรื่องชื่อนี่คือยากมาตั้งแต่ตอนไปหาหมอแล้วใช้เวลากว่า 5 นาทีในการทำให้คนญี่ปุ่นสะกดชื่อเราถูก ขนาดเขียนเป็นคาตาคานะให้ แกก็ยังอ่านชื่อไม่ถูกอยู่ดี สุดท้ายเลยลดชื่อตัวเองให้เหลือ "นิโนะ" ตัดตัวสะกดและความบาลี สันสกฤตทุกสิ่งออกไปให้หมด เป็นชื่อที่มินิมอลคินโฟล์คมาก พอมาเจอน้องนักเรียนเลยบอกว่าชื่อนิโนะ แต่เขียนชื่อจริงให้ในสมุดตอนที่น้องยื่นมาให้เซ็นชื่อ
สมุดที่น้องยื่นมาตีเป็นช่อง 9 ช่อง แสดงว่าวันนี้ต้องล่าเหยื่อไกจิน (ย่อมาจาก 外国人 GAIKOKUJIN แปลว่า ชาวต่างชาติ) ให้ได้ 9 คน อีกหน้านึงเป็นแผนที่โลก น้องให้เราจิ้มว่ามาจากที่ไหน เราชี้แล้วบอกว่า "ไท นอท ไทวัน" น้องพยักหน้าหงึกๆ คล้ายจะบอกว่า ไม่รู้จักค่ะ
จากนั้นน้องก็ยิงคำถามแบบที่ฟังโคตรยาก ว่ามากี่วัน, มาทำอะไร, ไปเที่ยวเมืองไหนบ้าง, ชอบญี่ปุ่นมั้ย จากนั้นก็เสร็จ เราคุยกับน้องต่อนิดหน่อย ได้ความว่าน้องๆ มาจากเกียวโต มาเที่ยวนาราและต้องคุยกับไกจินส่งคุณครูเป็นงานกลุ่ม
ก่อนบ๊ายบายกัน น้องเปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบถุงพลาสติกยับๆ ผูกโบสีแดงยื่นให้เรา แล้วบอกว่าขอบคุณมาก เราหยิบถุงนั้นมาดู ข้างในเป็นนกกระดาษโอริกามิสองตัว และกระดาษใบเล็กๆ ระบายสีเอาไว้น่ารักเลย พร้อมข้อความ "Thank you so much. Have fun staying in Japan" เรารับมาแล้วบอกน้องๆ ว่าน่ารักมาก เราจะเก็บไว้อย่างดีเลย เด็กๆ ยิ้ม เราถ่ายรูปร่วมกันรูปนึง ก่อนที่น้องจะวิ่งไป
วันนั้นเราเป็นไกจินผู้ให้สัมภาษณ์ไปอีกหนึ่งกลุ่ม คราวนี้เป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย คุณครูเป็นคนจัดแจงพาเราเข้าไปหาเด็กเพราะแกคงเห็นเรายืนถ่ายรูปนานจนมั่นใจว่าเอ็งไม่ใช่คนบ้านเดียวกับข้าแน่ๆ คุยกับครู พอบอกว่าเรามาจากเมืองไทย แกทำท่าเป็นช้างใส่เราเลยแล้วบอกว่า "เมืองไทยที่ช้างเยอะๆ ใช่มั้ย" อยากจะบอกครูว่าช้างเยอะจริงค่ะแต่ไม่ต้องแสดงบทบาทสมมติเป็นช้างกลางแจ้งขนาดนี้ก็ได้ ลูกศิษย์มองอยู่ค่ะครู...
สรุปแล้วโดนไปสองกลุ่มถ้วน และโดนเล็งแล้วหันไปซุบซิบกันว่า ใช่ป่ะวะ...เอามั้ยวะ... อีกหลายกลุ่ม อยากจะเข้าไปบอกน้องว่า เออ กูนี่แหละ ก็เดี๋ยวจะโดนหาว่าหยาบ จึงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปแม้จะใกล้เที่ยง (อ้อ ขายังเป๋อยู่นะคะ) ท้องเริ่มหิวแต่ด้วยการคำนวณอย่างถ้วนถี่ เราจะข้ามมื้อกลางวันนี้ไปเลยเพราะเงินไม่พอ (โถถถถถถถถถถ) เราจะซื้อน้ำหนึ่งขวด แล้วขึ้นไปกินวิวบนภูเขาแทน ใช่ ทั้งขาเป๋ๆ แบบนี้แหละ ไหนๆ จะมาทางนี้แล้วต้องไปให้สุด
ดังนั้นเราจะไปขึ้นเขากันในตอนหน้า...
0 comments: