AMY: อยากเป็นแค่ศิลปิน

11:34 PM NidNok Koppoets 1 Comments

AMY
(2015, Asif Kapadia, A) 





กำลังนึกอยู่ว่าถ้าเรามองศิลปินในแง่ที่เขาเป็นปัจเจก ไม่มีคำว่าธุรกิจ และไม่ต้องมาอีโมเรื่องที่ว่าศิลปินจะต้องสร้างความสุข หรือจรรโลงสังคมอะไรแบบนั้น ศิลปินก็เพียงแค่ต้องการแสดงออกความอัดอั้น ปล่อยวัตถุดิบที่พรั่งพรูอยู่ในหัวและเรียบเรียงออกมาเป็นชิ้นงาน จบแล้วก็จบกัน ไม่ได้อยากจะไปจรรโลงใคร ไม่ได้อยากได้เงิน ไม่ได้อยากมีชื่อเสียง แกแค่บังเอิญเดินมาได้ยินเพลงที่ฉันแต่ง เสียงที่ฉันร้อง แล้วแกก็ดันชื่นชอบ โดยที่ฉันไม่ได้เรียกร้องสักนิด แบบนั้นศิลปินเห็นแก่ตัวรึเปล่า ในเมื่อเขาไม่ได้เชิญชวนเรียกร้องให้ใครมาคลั่งไคล้ เอาไปชื่นชมเมื่อทำดี และปู้ยี่ปู้ยำซ้ำเติมจนสนุกปากในวันที่เราล้ม

เราว่าเอมี่เป็นศิลปินแบบนั้น เธอเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความฝัน และมีวัตถุดิบเป็นชีวิตของเธอ และถ่ายทอดมันออกมาเป็นเพลงที่เธอแต่งและร้อง เหมือนว่าบทกวีที่เธอแต่ง และโน๊ตดนตรีพวกนั้นเป็นเครื่องระบายความอัดอั้น ปล่อยความทุกข์ถมในใจให้มันได้ออกไปบ้าง ความสุขและพอใจของเธอน่าจะอยู่ตรงนั้น มากกว่ารางวัลและเสียงกรีดร้องจากผู้ชม ถ้าเอาความเป็นศิลปินในอุดมคติที่สังคมตั้งค่าโรงงานเอาไว้ เอมี่คงเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจแฟนเพลง ไอ้ฉากที่แฟนตะโกนบังคับให้เธอร้องเพลง ถ้าไม่ร้องก็จ่ายเงินคืนมาสิ สำหรับเรา ฉากนั้นแม่งเจ็บปวดสัสๆ เออ ถ้าคิดว่าเราซื้อตั๋วคอนเสิร์ตไปแล้วศิลปินไม่ร้องเราก็คงตะโกนด่า แต่หลังดูฉากนั้นเราต้องคิดใหม่เลย เข้าใจคนข้างบนนั้นมากๆ และพบว่าความถูกผิดมันขึ้นกับว่าเรามองจากมุมไหน

นึกถึงครั้งนึงเมื่อไม่นานมานี้ เราเป็นแค่พิธีกรตามงานงอกง่อย แต่วันนั้นอารมณ์แม่งไม่ไหวจริงๆ ไม่อยากหัวเราะหรือไปทำให้ใครมีความสุขทั้งนั้น เอาแค่ว่าพูดกูยังไม่อยากพูดกับใคร แต่ยังไงก็ต้องทำ ต้องเดินออกไปถือไมค์นั้นแล้วทำหน้าที่เราให้จบ จริงๆ ถ้าดูหนัง AMY ไปก่อนงานวันนั้น คงกลับเข้าห้องไปนอนแล้วทิ้งงานไปเลย (และคงโดนด่าเละเทะ)

ลำพังแค่เรื่องของเอมี่ก็เพียงพอให้หนังมันหม่น และน่าอึดอัดสัสๆ อยู่แล้ว แต่ที่โหดร้ายกว่า คือสารพัดฟุตเตจ คลิปเสียง และทุกภาพที่อยู่บนจอนั้นที่มันเสือกเป็นของจริง เศร้าที่เธออาจจะไม่คิดว่าเสียงเหล่านั้นที่เคยพูดมันจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในหนังที่เล่าเรื่องเธอตอนที่เธอไม่อยู่แล้วอะไรแบบนั้น คือคงเป็นด้วยยุคสมัยด้วย ที่เรามีเครื่องไม้เครื่องมือในการเก็บความทรงจำถึงใครเอาไว้เต็มไปหมด พอไอ้พวกนี้มันจริงมาก และมันมาอยู่ในหนังที่กำลังเล่าเรื่องการรุกล้ำเข้าไปทำลายพื้นที่ส่วนตัวของคนที่ข้างในก็บกพร่องบอบบางอยู่แล้ว เลยอดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายเราเองก็กำลังรุกล้ำข้ามเส้นไปรบกวนเธอเหมือนกัน แม้เธอจะจากไปแล้วก็เหอะ

การเข้าไปดูชีวิตคนที่ร่วงหล่นดำดิ่งไปเรื่อยๆ นี่ทรมานมากนะ ถ้าเป็นหนังคงอยากไปดูหน้าคนเขียนบทว่าหัวใจมึงทำด้วยอะไรถึงได้ทำร้ายตัวละครซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อยๆ ถ้าจะกลั่นแกล้งกันขนาดนี้ตัดไอ้ตัวนี้ออกไปเลยเถอะ แต่พอคิดว่าเป็นเรื่องจริงก็ยิ่งเศร้าหนัก บางทีอาจจะดีแล้วที่เธอชิงจากไปซะก่อนที่จะโดนคนเขียนบทซ้ำเติมอะไรเข้ามาอีก ถึงตอนนั้นมันอาจจะทรมานมากไปกับชีวิตที่โคตรบอบบาง

และอย่างน้อยความสว่างเดียวที่พอมองเห็นในหนังบ้าง คือฉากร้องเพลง Body and soul เราว่าวันนั้นเธอคงมีความสุขมากแน่ๆ

1 comment:

  1. ฉาก body and soul ตอนนั้นเหมือนน้ำทิพย์ที่ชโลมใจจริงๆ มันเป็นช่วงสั้นๆ ที่เราไม่ได้เชียร์ให้เอมี่รีบๆชิงตายไปเสียก่อน(ตั้งแต่หลังได้รางวัลมามันหดหู่ขึ้นเรื่อยๆจริงๆ

    พอฉากสุดท้าย มันก็หนักหน่วงจริงๆ .... quote ของโทนี่ในฉากสุดท้าย มันอึนมากๆครับ

    ReplyDelete