Snap: อวสานโลกสวย
Snap(2015, คงเดช จาตุรันต์รัศมี, A+)
เชยมากที่เพิ่งได้ดู ทีแรกคิดว่าจะไม่ได้ดูแล้ว เพราะหนังดันเข้าตอนไปเที่ยว และไม่คิดว่ามันจะมีชีวิตยืนยงคงกระพันอยู่ในโรงหนังได้นานขนาดนี้ พอกลับมาก็หามีเวลาว่างไม่ วันนี้ก็ไม่ได้ว่าง แต่กลัวว่าพรุ่งนี้มันจะไม่อยู่แล้ว เลยต้องยอมใจตัวเองออกไปดู แล้วผลเป็นไง จี๊ดหัวใจจนไม่อาจจะเริ่มเขียนต้นฉบับได้ ถ้าไม่ได้บันทึกถึงหนังเรื่องนี้ก่อน
ความรู้สึกจี๊ดใจมันบังเกิดกับเราหลังจากซีนตู้ปลา แล้วตัดฉับมาที่บอยกำลังกินฝรั่งจิ้มพริกเกลือ บทสนทนาตรงนั้นคือจุดระเบิดในใจ และหลังจากตรงนั้นมาก็รู้สึกแบบขำขื่นกับหนังมาตลอด อยากจะตั้งชื่อไทยให้ใหม่ ว่า อวสานโลกสวย ไม่ต้องมาคิดถงคิดถึงอะไร หนังมันดาร์กจะตาย คำนึงที่พุ่งขึ้นมาในหัวคืออยากเดินไปบอกผึ้งว่า ไงล่ะ อีสลิ่ม 5555 ดูเป็นคนเลวมาก และผึ้งคงไม่ใช่สลิ่ม แต่อยากด่ามันแบบนั้น คือหนังแม่งก็เสือกพูดคำว่าสลิ่มขึ้นมาด้วยไง ตกใจเล็กน้อยว่า เอ้อ พูดแบบนี้ขึ้นมาก็ได้เหรอ แล้วเป็นไง มึงเลยไปคิดกับอีผึ้งว่าเป็นสลิ่มไปเลย (ขอโทษนะผึ้ง ความคิดเราไปเร็วเกินไป)
สงสารมันก็สงสารนะ หดหู่ด้วยก็ใช่ แต่ก็สะใจอยู่ในที ไงล่ะ ชีวิตที่โหยหาความหลังอันงดงาม โรแมนทิไซซ์และใส่ฟิลเตอร์ให้ทุกจังหวะของชีวิต สะสมคำคมไว้เต็มกระเป๋า แช่แข็งตัวเองอยู่กับความเพ้อฝัน พาชีวิตเดินหน้าไปแบบงงๆ หลงและหลอกตัวเองว่ามีความสุขดีตามยอดไลค์ที่ได้รับ พอถึงจุดนึงที่อยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาได้ นึกย้อนกลับไป อ้าวสัส นั่นกูทำตัวเองทั้งหมดเลย ที่พังๆ อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมึงเองนี่แหละ จะโทษใคร ก็ใช้ชีวิตต่อไปแบบพังๆ หลอกๆ แบบนี้แหละ
ไอ้การกัดฝรั่งจิ้มพริกเกลืองั่มๆ ของไอ้บอยฉากนั้นแม่งดี คนอื่นเขานอสตัลเจียกัน กูอินอยู่ฉากเดียวนี่แหละ ยิ่งพอมาเจอแฟนไอ้บอยนั่งรีดผ้าข้างหน้าเป็นทีวีที่ฉายเรื่องไร้สาระที่มัน บังคับให้เราดู ยิ่งประทับใจ หัวเราะขื่นอยู่ในลำคอ แววตาที่แห้งแล้งของบอยมันดีมากเลยฉากนั้น จริงมากๆ มันไม่มีหรอกวันเวลาดีๆ ที่ฝันถึง อยากกลับไปให้เป็นเหมือนเดิม มาทวงสัญญาวันเก่า ชีวิตวัยรุ่นที่แสนจะสดใส มันมีแต่ความจริงตรงหน้าวันนี้ กับชีวิตที่ต้องดิ้นรน ด้นสดไปตามสถานการณ์ ที่บางทีแม่งดีๆ อยู่แล้ว ก็ดันมีใครก็ไม่รู้มาพรากไอ้สิ่งดีๆ นั้น แล้วยัดเยียดเรื่องบ้าบอมาให้โดยเราไม่ได้เรียกร้อง แต่จะให้ทำไง เรียกร้องไปก็มีแต่เสีย ก็อยู่บ้านแดกฝรั่งจิ้มพริกเกลือแล้วทำมาหากินต่อไปตามอะไรก็ตามที่มันจะเข้ามา
อย่างที่แฟนอีบอยบอกนั่นแหละถูกที่สุด อย่าไปเวิ่นเว้อกับชีวิตให้มันมาก ไอ้ที่ว่าจี๊ดเพราะมึงไปโฟกัสอยู่กับมันมากไป แต่ถ้าชอบความโรแมนติกแบบนั้น ก็ตามใจ มีความสุขแบบที่ชอบที่ชอบไปก็แล้วกัน กูไปซักผ้ารีดผ้าและทำมาหากินก่อนละ บายนะ ไว้เจอกันตอนงานเลี้ยงรุ่น
ชอบความทหารที่ใส่เข้ามาในหนังทั้งแบบมวลๆ (อย่างเช่นบ้านของผึ้ง หรือคาแรกเตอร์แม่ผึ้งที่เป็นเมียทหาร) และแบบตรงๆ อย่างพี่แมนแฟนผึ้ง (ซึ่งกูไม่น่าเคยไปดูละครเวทีที่พี่เค้าเล่นไง แล้วพี่เค้าเกย์มากจนไม่อาจทำใจให้ดูแล้วจะคิดว่าพี่เค้าแมนๆ แฟนผึ้งได้เลย หนูขอโทษ) ชอบฉากเลือกรูปที่เหมือนให้คนดูอย่างเราเลือกด้วยน่ะ คือเราก็เลือกเหมือนผึ้งนะ เพราะรูปนั้นมันสวยกว่าจริงๆ แต่พี่แมนแกดันไปเลือกรูปที่มันแข็งและมีความสูตรมาก เลือกแบบราชการเลย ที่ต้องเห็นหน้าชัด หน้าตรง เดี๋ยวคนไม่รู้ว่ามางานใคร ใครได้หน้า และหนักเข้าไปอีก ด้วยการปรึกษากับแม่ผึ้ง เออออห่อหมกกันอยู่สองคน อีผึ้งเนี่ยโดนกระทำจากเหล่าเจ้าชีวิตผู้มีอำนาจเหนือเราครบเลย ทั้งอำนาจจากพ่อแม่ จากสามี และจากการเมืองที่ลมเพลมพัด ผึ้งไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเองในชีวิตจริง เป็นแค่เจ้าของคอนเทนท์ในโลกออนไลน์เท่านั้น มันน่าเศร้านะ
อีกอย่างที่ชอบและรู้สึกว่ามันจริงมาก คือฉากในวงสนทนาของแก๊งค์ชะนี ที่คุยกันถึงรสถึงชาติมากกว่าวงผู้ชายซะอีก คือเราชอบเห็นในหนังว่า โหย วงเหล้าของผู้ชายนี่คุยกันมึงมาพาโวย ทะลึ่งตึงตัง แต่นี่โว้ย วงชะนี + เพื่อนกะเทยซักคนสองคน อันนี้ก็แซ่บที่สุดแล้ว กล้วย หวี อะไรพูดกันได้หมด เคยบางทีที่คุยกันหนักหน่วงจนแฟนผู้ชายสองสามคนที่นั่งอยู่ในวงด้วยต้อง ขอตัวเดินออกไปก่อน เพราะคงเขินแทน แต่เนี่ย คุยกันแบบนี้แหละ แหม วงผู้ชายมึงอยู่ในยุคหลังสงครามเหรอ จะพาเพื่อนไปขึ้นครู เขาได้กันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เลิกแซวกันเรื่องแบบนี้ได้แล้ว มันเชย
เออ จะว่าไปเราก็มีความนอสตัลเจีย แง่ความคิดถึงอดีตเหมือนกัน แต่เป็นแง่ที่แบบ คิดถึงแล้วก็เท่านั้น คิดถึงแต่ไม่โหยหา คือมันจะมีช่วงที่เราก็เป็นแบบผึ้งนะ คืออะไรในอดีตมันก็สวยงามไปหมด ชีวิตมัธยมคือช่วงที่ดีที่สุด แต่พอโตมาเรื่อย จนตอนนี้ นึกย้อนไปแบบซื่อสัตย์กับตัวเองจริงๆ เราก็ไม่ได้โหยหาช่วงเวลานั้นเท่าไหร่ (ถ้าเทียบกับช่วงมหาลัยจะยังโหยหามากกว่าหลายเท่า) มันเหมือนกับตัวเราในตอนนี้เข้ากันไม่ได้กับเราในตอนนั้นแล้ว ให้กลับไปก็คงอึดอัด ร้องไห้ แบบเราไม่บีลองกับอดีตของตัวเองอ่ะ แต่ยังไงมันก็คือเรา
รวมๆ แล้วเราดูหนังด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและขำขื่นมากกว่าจะฟีลกู้ดนอสตัลเจียนะ คือสงสารตัวเอง คนรุ่นตัวเองและรุ่นน้องตัวเองที่ต้องถูกพรากความสุขบางอย่างที่พึงมีไปกับ บ้านเมืองที่มันไม่แน่ไม่นอน สงสารผึ้ง แม้จะสะใจและสมน้ำหน้ามันบ้าง แต่คิดอีกที ไอ้น่าหมั่นไส้ของผึ้งมันไม่ได้เกิดจากผึ้งเองโดยแท้ การเลี้ยงดูและสังคม อะไรใดๆ ทำให้ผึ้งเป็นแบบนี้ และสุดท้ายผึ้งที่เป็นเด็กดีของสังคมมาโดยตลอด กลับกลายเป็นคนที่ถูกกระทำอย่างถึงใจมากที่สุด การร้องไห้แห้งๆ ขื่นๆ ในงานแต่งงานของผึ้งมันจึงเศร้าแบบที่ไม่ต้องมาฟูมฟายเสียน้ำตาเป็นลิตร เพราะมันเศร้าอ่ะมึง มันเศร้ามาก
เราว่าเพลง แค่ได้คิดถึง ที่ดังขึ้นมาตอนหนังจบมันสรุปได้ดี ได้ฟังเพลงนี้ด้วยความคิดอีกแบบและมันดีมากๆ แง่นึงเพลงนี้มันก็เพ้อเจ้อเหมือนผึ้งนะ คือมึงก็คิดถึงขอบฟ้า ต้นไม้ ลำธารอะไรไปสิ เหมือนคนที่โหยหาวันเวลาดีๆ และพยายามจะทำให้ปัจจุบันเป็นเหมือนวันเวลาดีๆ อันเป็นอุดมคติของตัวเองให้ได้ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ มันฝืนธรรมชาติ ก็เลยทำได้แค่เพ้อฝันอยู่ในความคิดถึง จนแก่เฒ่าและตายไป
กับในอีกแง่ บางทีการ "แค่ได้คิดถึง" มันก็พอแล้วน่ะ บางอย่างพอผ่านการเวลามาแล้วมันเลวร้ายเกิน ตัวตนของบางคนที่เราเคยชอบในวันวาน แต่วันนี้เขากลับไม่ใช่อย่างที่เราเคยคิด งั้นก็ขอเก็บเอาไว้ให้แค่ได้คิดถึงก็น่าจะเป็นสุขใจ น่าจะเพียงพอให้ยังรักษาความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้ เป็นการคิดถึงเพื่อหายใจเข้าต่ออีกซักเฮือกแล้วเดินหน้าต่อไป หยุดภาพดีๆ เหล่านั้นเอาไว้ แค่ให้คิดถึงพอ เพราะบางทีชีวิตที่ต้องดิ้นรนก็ไม่ได้ต้องการอะไรพวกนั้นน่ะ
ปล.เลือกรูปนี้เพราะชอบฉากนี้มาก
ยังไม่ได้ดูนะครับ แต่อ่านบทวิจารณ์นี้แล้วเห็น The boy and the beast กับ ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ลอยออกมาเลย ต้องดูๆ
ReplyDeleteThe boy and the beast ยังไม่เคยดูเลยค่ะ ส่วนไส้เดือนฯ อ่านแล้วรันทดหดหู่มาก กว่าจะจบได้ทรมานเหลือเกิน
Deleteผมไปดูรอบแรกผมแอบๆนอสตัลเจียนะ แบบเออบางช่วงมันน่าคิดถึงเพือนเปรตๆแบบแก๊งบอยนี่
ReplyDeleteรอบสองไปดูเพราะว่างไม่รู้จะดูอะไรอีกรอบ
ครึ่งแรก อีผึ้ง !! เกลียดมึง !!